Categories
บทความ

วิตามินที่ช่วยบำรุงร่างกาย

วิตามินที่ช่วยบำรุงร่างกาย

วิตามินเป็นสารอาหารที่สำคัญที่ร่างกายของเราต้องการในปริมาณน้อย แต่มีบทบาทสำคัญต่อการรักษาสุขภาพที่ดีและการทำงานของร่างกายในหลายๆ ด้าน ในบทความนี้ เราจะสำรวจวิตามินที่สำคัญบางชนิดที่ช่วยบำรุงร่างกายและวิธีที่เราสามารถรับประทานได้จากอาหารประจำวัน

1. วิตามิน A

    • คุณประโยชน์: ช่วยในการมองเห็นในที่มืด, สนับสนุนการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน, รักษาผิวพรรณให้แข็งแรง
    • แหล่งที่มา: ผักใบเขียว, แครอท, แตงโม, มะละกอ, ตับ

2. วิตามิน B กลุ่มต่างๆ

    • คุณประโยชน์: สนับสนุนการเปลี่ยนแปลงพลังงานในร่างกาย, ช่วยในการสร้างเซลล์เม็ดเลือดแดง, รักษาระบบประสาท
    • แหล่งที่มา: ธัญพืชเต็มเมล็ด, ถั่ว, เนื้อสัตว์, ไข่, นม

3. วิตามิน C

    • คุณประโยชน์: เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน, ช่วยในการรักษาเนื้อเยื่อ, เพิ่มการดูดซึมธาตุเหล็ก
    • แหล่งที่มา: ส้ม, มะนาว, กีวี, พริกหวาน, สตรอเบอร์รี่

4. วิตามิน D

    • คุณประโยชน์: ส่งเสริมการดูดซึมแคลเซียมและฟอสฟอรัส, สำคัญต่อกระดูกและฟัน
    • แหล่งที่มา: แสงแดด, ปลาน้ำมัน, นมเสริมวิตามิน D, ไข่

5. วิตามิน E

    • คุณประโยชน์: มีส่วนช่วยในการปกป้องเซลล์จากความเสียหายจากอนุมูลอิสระ, บำรุงผิวพรรณ
    • แหล่งที่มา: เมล็ดทานตะวัน, อัลมอนด์, ผักใบเขียว, น้ำมันพืช

6. วิตามิน K

    • คุณประโยชน์: ช่วยในกระบวนการแข็งตัวของเลือด, สนับสนุนสุขภาพกระดูก
    • แหล่งที่มา: คะน้า, บร็อคโคลี, ผักโขม, ถั่วเขียว

การได้รับวิตามินเหล่านี้จากอาหารประจำวันเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการรักษาสุขภาพที่ดี การบริโภคอาหารที่หลากหลายและสมดุล รวมถึงผัก, ผลไม้, โปรตีน, และไขมันที่ดีต่อสุขภาพจะช่วยให้คุณได้รับสารอาหารที่จำเป็นเพื่อสุขภาพที่ดีและการทำงานของร่างกายที่เหมาะสม.

Categories
บทความ

อาหารที่ทําให้กระดูกเสื่อม

การดูแลสุขภาพกระดูกเป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะกระดูกทำหน้าที่เป็นโครงสร้างหลักของร่างกายและยังมีบทบาทในการปกป้องอวัยวะภายใน การรักษาความแข็งแรงของกระดูกจึงจำเป็นต้องรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องหลีกเลี่ยงอาหารที่อาจทำให้กระดูกเสื่อมสภาพเร็วกว่าปกติได้ด้วย ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้:

1. อาหารที่มีฟอสเฟตสูง

อาหารที่มีปริมาณฟอสเฟตสูง เช่น น้ำอัดลมและอาหารแปรรูป อาจเป็นอันตรายต่อกระดูกได้ ฟอสเฟตมีส่วนสำคัญในการสร้างและรักษากระดูก แต่การรับฟอสเฟตมากเกินไปจะทำให้ร่างกายขับแคลเซียมออกมามากขึ้น ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้กระดูกอ่อนแอและเสื่อมสภาพ

2. อาหารที่มีโซเดียมสูง

โซเดียมในอาหารเช่น เกลือ, อาหารแปรรูป, ขนมขบเคี้ยวเค็ม ๆ หรืออาหารฟาสต์ฟู้ด อาจทำให้กระดูกเสื่อมได้ เนื่องจากการบริโภคโซเดียมมากเกินไปทำให้ร่างกายสูญเสียแคลเซียมไปทางปัสสาวะมากขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับการสร้างและรักษากระดูก

3. อาหารที่มีคาเฟอีนสูง

เครื่องดื่มเช่น กาแฟ, ชา และเครื่องดื่มพลังงานที่มีคาเฟอีนสูง สามารถทำให้ร่างกายสูญเสียแคลเซียมไปทางปัสสาวะมากขึ้น การดื่มคาเฟอีนมากเกินไปอาจทำให้ความหนาแน่นของกระดูกลดลง ส่งผลให้กระดูกเสื่อมและเกิดความเสี่ยงต่อการแตกหักง่ายขึ้น

4. อาหารที่มีแอลกอฮอล์สูง

การบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณมากส่งผลให้การดูดซึมแคลเซียมของร่างกายลดลง นอกจากนี้ยังรบกวนกระบวนการสร้างกระดูกใหม่ ทำให้กระดูกอ่อนแอและเสื่อมสภาพได้ง่าย

5. อาหารที่มีโปรตีนสัตว์สูงเกินไป

แม้ว่าโปรตีนจะเป็นสารอาหารที่สำคัญสำหรับการเจริญเติบโตและซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของร่างกาย แต่การบริโภคโปรตีนสัตว์ในปริมาณสูงเกินไป เช่น เนื้อแดง อาจทำให้กระดูกเสื่อมได้ เนื่องจากโปรตีนชนิดนี้สามารถเพิ่มระดับกรดในร่างกาย ซึ่งทำให้ร่างกายต้องดึงแคลเซียมจากกระดูกมาเพื่อลดกรดในเลือด

6. น้ำอัดลมและเครื่องดื่มที่มีฟอสฟอรัส

น้ำอัดลมและเครื่องดื่มบางประเภทมีปริมาณฟอสฟอรัสสูง การบริโภคฟอสฟอรัสมากเกินไปทำให้ร่างกายลดการดูดซึมแคลเซียม ซึ่งเป็นปัจจัยที่ทำให้กระดูกเสื่อมสภาพเร็วขึ้น

7. อาหารที่มีไขมันทรานส์

ไขมันทรานส์ที่พบในอาหารแปรรูปเช่น มันฝรั่งทอด, ขนมอบ, และอาหารจานด่วน สามารถทำให้กระดูกเสื่อมสภาพได้เร็ว เนื่องจากไขมันทรานส์รบกวนการดูดซึมของวิตามิน D ซึ่งจำเป็นสำหรับการดูดซึมแคลเซียมเข้ากระดูก

8. อาหารที่มีน้ำตาลสูง

การบริโภคอาหารและเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูง เช่น ขนมหวาน, เครื่องดื่มรสหวาน, และอาหารขบเคี้ยว อาจทำให้ร่างกายขาดสารอาหารที่จำเป็นต่อการสร้างและบำรุงรักษากระดูก เช่น แคลเซียมและแมกนีเซียม ทำให้กระดูกอ่อนแอและเสื่อมสภาพ

สรุป

การหลีกเลี่ยงอาหารที่อาจทำให้กระดูกเสื่อมเป็นสิ่งสำคัญในการรักษาสุขภาพกระดูกที่แข็งแรง ควรเน้นการบริโภคอาหารที่มีแคลเซียม, วิตามิน D, แมกนีเซียม และสารอาหารที่จำเป็นต่อการบำรุงรักษากระดูก และหลีกเลี่ยงอาหารที่มีฟอสเฟต, โซเดียม, คาเฟอีน, แอลกอฮอล์, และไขมันทรานส์สูง เพื่อป้องกันการเสื่อมของกระดูกและลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคกระดูกพรุนในอนาคต

Categories
บทความ

เส้นทับกระดูก อาการ, สาเหตุ, และวิธีการรักษา

เส้นทับกระดูก: อาการ, สาเหตุ, และวิธีการรักษา

เส้นทับกระดูก หรือที่รู้จักในชื่อทางการแพทย์ว่า อาการประสาททับกระดูก (Nerve Compression or Nerve Entrapment) เป็นภาวะที่เกิดขึ้นเมื่อเส้นประสาทถูกกดหรือทับโดยกระดูก กล้ามเนื้อ เส้นเอ็น หรือเนื้อเยื่ออื่นๆ ในร่างกาย อาการนี้สามารถเกิดขึ้นได้ในหลายจุดของร่างกาย และสามารถส่งผลให้เกิดอาการเจ็บปวด ชา หรืออ่อนแรงในบริเวณที่เส้นประสาทนั้นควบคุม

อาการของเส้นทับกระดูก

อาการของเส้นทับกระดูกจะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับบริเวณที่เกิดการกดทับ แต่โดยทั่วไปแล้ว อาการที่พบได้บ่อยมีดังนี้:

    • เจ็บปวด: อาการปวดที่เกิดจากเส้นประสาทถูกกดทับมักจะมีลักษณะเป็นการปวดที่รุนแรง หรือมีความรู้สึกปวดร้าวตามเส้นประสาท
    • ชาหรือรู้สึกเหมือนมีเข็มทิ่ม: ผู้ที่มีอาการเส้นทับกระดูกมักจะรู้สึกชา หรือรู้สึกเหมือนมีเข็มทิ่มตามแนวเส้นประสาทที่ถูกกดทับ
    • กล้ามเนื้ออ่อนแรง: การกดทับเส้นประสาทอาจทำให้กล้ามเนื้อในบริเวณที่ได้รับผลกระทบอ่อนแรงลง ทำให้การเคลื่อนไหวในส่วนนั้นลดลง
    • การเคลื่อนไหวที่ลำบาก: การกดทับเส้นประสาทที่รุนแรงอาจทำให้การเคลื่อนไหวของส่วนที่เกี่ยวข้องเป็นไปได้ยากขึ้น และอาจส่งผลให้เกิดการสูญเสียความสามารถในการใช้งานกล้ามเนื้อในบริเวณนั้น

สาเหตุของเส้นทับกระดูก

สาเหตุของเส้นทับกระดูกสามารถเกิดขึ้นได้จากหลายปัจจัย ซึ่งบางปัจจัยอาจเกิดขึ้นจากการใช้ชีวิตประจำวัน หรือจากการบาดเจ็บ ได้แก่:

    • การเคลื่อนไหวซ้ำๆ: การทำงานหรือการเคลื่อนไหวบางประเภทที่ต้องใช้การเคลื่อนไหวซ้ำๆ ในท่าเดียวกันเป็นเวลานานๆ เช่น การพิมพ์คอมพิวเตอร์ การยกของหนัก หรือการขับรถเป็นเวลานาน
    • การบาดเจ็บ: การบาดเจ็บที่ทำให้เกิดการบวมช้ำหรือการเคลื่อนของกระดูก อาจส่งผลให้เส้นประสาทถูกกดทับได้
    • ภาวะเจ็บป่วย: ภาวะบางอย่าง เช่น โรคกระดูกสันหลังเสื่อม หรือการเจริญของเนื้อเยื่อพิเศษในบริเวณกระดูกสันหลัง อาจทำให้เกิดการกดทับเส้นประสาทได้
    • น้ำหนักตัวเกิน: น้ำหนักตัวที่เกินกว่ามาตรฐานสามารถเพิ่มแรงกดบนกระดูกสันหลังและเส้นประสาทได้ ทำให้มีความเสี่ยงที่จะเกิดอาการเส้นทับกระดูกมากขึ้น

วิธีการรักษาเส้นทับกระดูก

การรักษาเส้นทับกระดูกสามารถทำได้หลายวิธี ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการและสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการ การรักษาอาจประกอบด้วยวิธีการต่อไปนี้:

1. การพักผ่อนและหลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ทำให้เกิดอาการ

การหยุดกิจกรรมที่ทำให้เกิดอาการ เช่น การหยุดทำงานที่ต้องใช้การเคลื่อนไหวซ้ำๆ หรือการลดน้ำหนัก สามารถช่วยลดแรงกดบนเส้นประสาทและช่วยให้อาการดีขึ้นได้

2. การรักษาด้วยยา

การใช้ยาบรรเทาอาการปวดหรือยาลดการอักเสบ เช่น ยาแก้ปวดทั่วไปหรือยาต้านการอักเสบที่ไม่มีสเตียรอยด์ (NSAIDs) สามารถช่วยลดอาการปวดและอาการบวมในบริเวณที่เส้นประสาทถูกกดทับได้

3. การทำกายภาพบำบัด

การทำกายภาพบำบัดเป็นวิธีการรักษาที่มีประสิทธิภาพในการฟื้นฟูกล้ามเนื้อและเพิ่มความยืดหยุ่นของร่างกาย โดยการทำกายภาพบำบัดสามารถช่วยปรับปรุงท่าทางและลดการกดทับเส้นประสาทได้

4. การฉีดยาลดการอักเสบ

ในกรณีที่อาการรุนแรง แพทย์อาจพิจารณาการฉีดยาลดการอักเสบโดยตรงในบริเวณที่เส้นประสาทถูกกดทับ เพื่อช่วยลดการอักเสบและบรรเทาอาการปวดได้รวดเร็วขึ้น

5. การผ่าตัด

หากการรักษาด้วยวิธีการที่กล่าวข้างต้นไม่สามารถบรรเทาอาการได้ หรือหากอาการเส้นทับกระดูกรุนแรงมาก แพทย์อาจพิจารณาการผ่าตัดเพื่อแก้ไขปัญหาการกดทับเส้นประสาท

สรุป

เส้นทับกระดูกเป็นภาวะที่สามารถส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตและการทำงานประจำวันของผู้ที่มีอาการได้ การรับรู้และการรักษาเส้นทับกระดูกตั้งแต่ระยะแรกจะช่วยป้องกันไม่ให้อาการลุกลามจนถึงขั้นรุนแรง การรักษาโดยใช้วิธีที่เหมาะสมตามคำแนะนำของแพทย์จะช่วยให้อาการดีขึ้นและฟื้นฟูสุขภาพให้กลับมาเป็นปกติได้

Categories
บทความ

การใส่เฝือกมีผลดีอย่างไร

การใส่เฝือกมีผลดีอย่างไร

การใส่เฝือกเป็นขั้นตอนการรักษาที่สำคัญสำหรับการบาดเจ็บของกระดูกและข้อ ซึ่งมีประโยชน์หลายประการ ทั้งในด้านการป้องกัน การรักษา และการฟื้นฟูสภาพร่างกาย บทความนี้จะอธิบายถึงประโยชน์ของการใส่เฝือกในด้านต่างๆ อย่างละเอียด

ประโยชน์ของการใส่เฝือก

1. ป้องกันการเคลื่อนไหวของกระดูกที่หัก

การตรึงกระดูกที่หัก: การใส่เฝือกช่วยตรึงกระดูกที่หักให้อยู่ในตำแหน่งที่ถูกต้องและไม่เคลื่อนไหว ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในการช่วยให้กระดูกเชื่อมต่อกันได้อย่างสมบูรณ์

ป้องกันการบาดเจ็บเพิ่มเติม: การเคลื่อนไหวของกระดูกที่หักอาจทำให้เกิดการบาดเจ็บเพิ่มเติมได้ การใส่เฝือกจะช่วยป้องกันการเคลื่อนไหวที่ไม่จำเป็น

2. ลดอาการปวดและบวม

การลดอาการปวด: การใส่เฝือกช่วยลดอาการปวดโดยการตรึงบริเวณที่ได้รับบาดเจ็บและป้องกันการเคลื่อนไหวที่ทำให้ปวด

การลดอาการบวม: การตรึงบริเวณที่ได้รับบาดเจ็บช่วยลดการอักเสบและอาการบวม ทำให้ร่างกายสามารถเริ่มกระบวนการฟื้นฟูได้เร็วขึ้น

3. ส่งเสริมการหายของกระดูกและข้อ

การฟื้นฟูโครงสร้างของกระดูก: การใส่เฝือกช่วยให้กระดูกอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสมสำหรับการเชื่อมต่อใหม่ ซึ่งทำให้การฟื้นฟูเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ

การป้องกันการเคลื่อนที่ผิดตำแหน่ง: การเคลื่อนไหวของกระดูกที่หักอาจทำให้กระดูกเคลื่อนที่ออกจากตำแหน่งที่ควรอยู่ การใส่เฝือกช่วยป้องกันการเคลื่อนที่ผิดตำแหน่งนี้

4. การป้องกันการบาดเจ็บซ้ำ

การตรึงกระดูกและข้อ: เฝือกช่วยให้กระดูกและข้อที่หักหรือบาดเจ็บไม่เคลื่อนไหวมากเกินไป ซึ่งจะลดโอกาสในการบาดเจ็บซ้ำ

การป้องกันการทำลายเนื้อเยื่อ: การใส่เฝือกช่วยป้องกันการทำลายเนื้อเยื่อรอบๆ กระดูกและข้อที่บาดเจ็บ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในการรักษาและฟื้นฟู

5. การฟื้นฟูสภาพร่างกาย

การรักษาเสถียรภาพของร่างกาย: การใส่เฝือกช่วยให้ร่างกายสามารถรักษาเสถียรภาพและลดความเสี่ยงในการเกิดบาดเจ็บเพิ่มเติม

การเสริมสร้างความมั่นใจ: การใส่เฝือกช่วยให้ผู้ที่บาดเจ็บรู้สึกมั่นใจและปลอดภัยมากขึ้นในระหว่างการฟื้นฟู

ขั้นตอนการดูแลรักษาเฝือก

การดูแลรักษาเฝือกเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้การฟื้นฟูเป็นไปอย่างราบรื่นและลดความเสี่ยงในการเกิดปัญหาที่อาจเกิดขึ้น ดังนี้

1. การรักษาความสะอาด

หลีกเลี่ยงน้ำและความชื้น: เฝือกไม่ควรโดนน้ำหรือความชื้น เพราะอาจทำให้เฝือกเปื่อยหรือเกิดการติดเชื้อได้

การทำความสะอาดรอบๆ เฝือก: ควรรักษาความสะอาดบริเวณรอบๆ เฝือกด้วยการใช้ผ้าชุบน้ำสะอาดเช็ดเบาๆ

2. การตรวจสอบความแน่นของเฝือก

การตรวจสอบความแน่น: หากรู้สึกว่าเฝือกแน่นเกินไปหรือหลวม ควรปรึกษาแพทย์หรือพยาบาลเพื่อทำการปรับเฝือกใหม่

การสังเกตอาการผิดปกติ: หากมีอาการบวม แดง หรือปวดมากขึ้น ควรรีบปรึกษาแพทย์

3. การปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์

การติดตามการรักษา: ควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ในการนัดตรวจเช็คอาการและการเปลี่ยนเฝือก

การใช้งานเฝือกอย่างถูกวิธี: ไม่ควรใช้เครื่องมือหรือวัตถุแข็งใดๆ ขูดเฝือก เพราะอาจทำให้เฝือกเสียหาย

สรุป

การใส่เฝือกมีบทบาทสำคัญในการรักษาและฟื้นฟูกระดูกและข้อที่ได้รับบาดเจ็บ ประโยชน์ของการใส่เฝือกประกอบด้วยการตรึงกระดูกให้คงที่ ลดอาการปวดและบวม ส่งเสริมการหายของกระดูก ป้องกันการบาดเจ็บซ้ำ และเสริมสร้างความมั่นใจในการฟื้นฟู การดูแลรักษาเฝือกอย่างถูกต้องเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้การรักษาเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและลดความเสี่ยงในการเกิดปัญหาเพิ่มเติม

Categories
บทความ

การดูแลสุขภาพสำหรับผู้ป่วยโรคภูมิแพ้

ความเข้าใจเบื้องต้นเกี่ยวกับโรคภูมิแพ้

โรคภูมิแพ้เป็นภาวะที่ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายตอบสนองต่อสารที่ปกติไม่เป็นอันตราย เช่น ฝุ่น ละอองเกสร และอาหารบางชนิด ในลักษณะที่เกินความจำเป็น ทำให้เกิดอาการแพ้ต่าง ๆ เช่น คัน ตาแดง น้ำมูกไหล จาม หรือหายใจไม่สะดวก การเข้าใจและดูแลตัวเองอย่างเหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยลดอาการและความรุนแรงของโรคภูมิแพ้ได้ นี่คือคำแนะนำที่ควรปฏิบัติอย่างละเอียด:

1. หลีกเลี่ยงสารที่ก่อให้เกิดภูมิแพ้

สารก่อภูมิแพ้ในอากาศ:
    • ฝุ่น: ควรทำความสะอาดบ้านเป็นประจำ ใช้เครื่องดูดฝุ่นที่มีประสิทธิภาพสูง และหลีกเลี่ยงการใช้พรมในบ้านเพราะเก็บฝุ่นได้ดี
    • ละอองเกสร: ควรหลีกเลี่ยงการออกไปข้างนอกในช่วงเวลาที่มีละอองเกสรสูง เช่น ช่วงเช้าตรู่ และควรปิดหน้าต่างประตูให้มิดชิด
    • สัตว์เลี้ยง: ควรหลีกเลี่ยงการเลี้ยงสัตว์ที่มีขน หรือหากจำเป็นควรทำความสะอาดสัตว์เลี้ยงและพื้นที่ที่สัตว์เลี้ยงอยู่บ่อยๆ
    • เชื้อรา: ควรตรวจสอบและทำความสะอาดบริเวณที่อับชื้น เช่น ห้องน้ำ และห้องใต้ดินเพื่อป้องกันการเจริญเติบโตของเชื้อรา
อาหารที่แพ้:
    • นม: ควรตรวจสอบส่วนผสมของอาหารก่อนบริโภค และเลือกผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีส่วนผสมของนม
    • ถั่วทะเล: ควรหลีกเลี่ยงการบริโภคอาหารที่มีถั่วทะเล และเลือกอาหารที่ได้รับการรับรองว่าไม่มีส่วนผสมของถั่วทะเล
    • ไข่: ควรหลีกเลี่ยงการบริโภคอาหารที่มีไข่ เช่น ขนมเค้ก หรืออาหารที่ใช้ไข่เป็นส่วนประกอบ

2. การดูแลความสะอาดในบ้าน

    • ทำความสะอาดบ้านเป็นประจำ: ควรทำความสะอาดบ้านทุกวันหรืออย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง เพื่อกำจัดฝุ่นและเชื้อรา
    • ใช้เครื่องกรองอากาศ: ควรใช้เครื่องกรองอากาศที่มีประสิทธิภาพในการกำจัดฝุ่นและสารก่อภูมิแพ้ในอากาศ
    • หลีกเลี่ยงการใช้พรมและผ้าม่านที่เก็บฝุ่น: หากจำเป็นควรเลือกใช้ผ้าม่านและพรมที่สามารถทำความสะอาดได้ง่าย และทำความสะอาดบ่อยๆ

3. การดูแลสุขภาพร่างกาย

การออกกำลังกาย:
    • ควรออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เช่น การเดิน วิ่ง ว่ายน้ำ หรือการทำโยคะ เพื่อเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันและช่วยให้ร่างกายแข็งแรง
    • หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายในพื้นที่ที่มีฝุ่นหรือละอองเกสรสูง
การพักผ่อน:
    • ควรพักผ่อนให้เพียงพอ อย่างน้อย 7-8 ชั่วโมงต่อคืน เพื่อให้ร่างกายมีความพร้อมในการต่อสู้กับสารก่อภูมิแพ้
    • การนอนหลับที่เพียงพอจะช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การรับประทานอาหาร:
    • ควรรับประทานอาหารที่มีประโยชน์และสมดุล เช่น ผัก ผลไม้ เนื้อปลา และธัญพืช เพื่อเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน
    • หลีกเลี่ยงการบริโภคอาหารที่มีสารกันบูด สารแต่งสี และสารเคมีที่อาจก่อให้เกิดอาการแพ้

4. การใช้ยาและการรักษา

    • ปรึกษาแพทย์: ควรปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับการใช้ยาต้านภูมิแพ้ เช่น ยาแก้แพ้ (antihistamines), ยาพ่นจมูก, หรือยาสเตียรอยด์ เพื่อควบคุมอาการแพ้
    • การใช้ยาฉีดอีพิเนฟริน (Epinephrine): หากมีอาการแพ้รุนแรง ควรพกยาฉีดอีพิเนฟรินและทราบวิธีการใช้ เพื่อใช้ในกรณีฉุกเฉิน
    • การใช้ยาสมุนไพร: ควรปรึกษาแพทย์ก่อนการใช้ยาสมุนไพร เพราะบางชนิดอาจก่อให้เกิดอาการแพ้หรือมีผลข้างเคียง

5. การตรวจและติดตามสุขภาพ

    • ตรวจสุขภาพประจำปี: ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจสุขภาพประจำปี และทำการทดสอบภูมิแพ้ (Allergy test) เพื่อทราบสารก่อภูมิแพ้ที่เป็นปัญหา
    • การติดตามอาการ: ควรติดตามอาการแพ้ของตนเองและบันทึกข้อมูลเพื่อนำไปปรึกษาแพทย์ในการปรับการรักษาให้เหมาะสม

6. การดูแลสุขภาพจิต

    • การลดความเครียด: ภาวะความเครียดสามารถทำให้อาการภูมิแพ้รุนแรงขึ้น ควรหาวิธีการลดความเครียดเช่น การฝึกหายใจลึกๆ การทำสมาธิ หรือการทำกิจกรรมที่ชื่นชอบ
    • การสนับสนุนจากครอบครัวและเพื่อน: ควรขอความช่วยเหลือและการสนับสนุนจากครอบครัวและเพื่อนเพื่อสร้างความเข้าใจและการดูแลร่วมกัน

สรุป

การดูแลตัวเองอย่างเหมาะสมจะช่วยให้ผู้ที่เป็นโรคภูมิแพ้สามารถลดอาการแพ้และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นได้ โดยการหลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้ การดูแลความสะอาดในบ้าน การดูแลสุขภาพร่างกาย การใช้ยาและการรักษาที่เหมาะสม การตรวจและติดตามสุขภาพอย่างสม่ำเสมอ และการดูแลสุขภาพจิต ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับคำแนะนำและการรักษาที่เหมาะสมเพื่อให้สามารถควบคุมโรคภูมิแพ้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ.

Categories
บทความ

ผลไม้ที่ช่วยบำรุงสมอง

ผลไม้ที่ช่วยบำรุงสมอง

การบริโภคผลไม้ที่มีสารอาหารที่มีประโยชน์สามารถช่วยบำรุงสมองและเสริมสร้างความจำ ความคิด และความสามารถในการเรียนรู้ได้ ผลไม้หลายชนิดมีสารต้านอนุมูลอิสระ วิตามิน และแร่ธาตุที่ช่วยสนับสนุนสุขภาพสมอง ต่อไปนี้คือผลไม้ที่มีประโยชน์ต่อสมอง:

1. บลูเบอร์รี่ (Blueberries)

ประโยชน์: บลูเบอร์รี่มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง โดยเฉพาะแอนโทไซยานิน (Anthocyanin) ที่ช่วยป้องกันการอักเสบและลดความเสี่ยงต่อโรคสมองเสื่อม
สารอาหารสำคัญ: วิตามินซี วิตามินเค และไฟเบอร์
การบริโภค: การรับประทานบลูเบอร์รี่สดๆ หรือใส่ในโยเกิร์ต ซีเรียล หรือสมูทตี้ จะช่วยให้ได้รับสารอาหารที่เป็นประโยชน์

2. สตรอว์เบอร์รี่ (Strawberries)

ประโยชน์: สตรอว์เบอร์รี่มีสารฟลาโวนอยด์ (Flavonoids) ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของสมองและช่วยเสริมสร้างความจำ
สารอาหารสำคัญ: วิตามินซี แมงกานีส และไฟเบอร์
การบริโภค: สามารถทานสดๆ ใส่ในสลัด หรือทำเป็นขนมหวาน เช่น สตรอว์เบอร์รี่ชอร์ตเค้ก

3. แบล็กเบอร์รี่ (Blackberries)

ประโยชน์: แบล็กเบอร์รี่มีสารโพลีฟีนอล (Polyphenols) ที่ช่วยป้องกันความเสียหายของเซลล์สมองและส่งเสริมการเจริญเติบโตของเซลล์สมองใหม่
สารอาหารสำคัญ: วิตามินซี วิตามินเค และแมงกานีส
การบริโภค: การทานแบล็กเบอร์รี่สดๆ หรือใส่ในสมูทตี้ ซีเรียล หรือโยเกิร์ต เป็นวิธีที่ดีในการเพิ่มสารต้านอนุมูลอิสระ

4. อะโวคาโด (Avocados)

ประโยชน์: อะโวคาโดมีไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยวที่ช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือดไปยังสมอง และมีวิตามินอีที่ช่วยป้องกันการอักเสบของสมอง
สารอาหารสำคัญ: โพแทสเซียม วิตามินอี และไฟเบอร์
การบริโภค: สามารถทานสดๆ ใส่ในสลัด ทำเป็นกัวกาโมเล หรือใส่ในสมูทตี้

5. กล้วย (Bananas)

ประโยชน์: กล้วยมีวิตามินบี6 ที่ช่วยในการผลิตสารสื่อประสาท เช่น เซโรโทนินและโดพามีน ซึ่งช่วยในการทำงานของสมอง
สารอาหารสำคัญ: วิตามินบี6 โพแทสเซียม และไฟเบอร์
การบริโภค: ทานสดๆ ใส่ในซีเรียลหรือโยเกิร์ต หรือทำเป็นสมูทตี้

6. ส้ม (Oranges)

ประโยชน์: ส้มมีวิตามินซีสูงที่ช่วยป้องกันการเสื่อมของสมองและสนับสนุนการทำงานของระบบประสาท
สารอาหารสำคัญ: วิตามินซี โฟเลต และไฟเบอร์
การบริโภค: ทานสดๆ หรือคั้นเป็นน้ำส้มสดดื่ม

7. แอปเปิ้ล (Apples)

ประโยชน์: แอปเปิ้ลมีสารเควอซิติน (Quercetin) ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยป้องกันการอักเสบของสมองและสนับสนุนการทำงานของสมอง
สารอาหารสำคัญ: วิตามินซี ไฟเบอร์ และสารต้านอนุมูลอิสระ
การบริโภค: ทานสดๆ ใส่ในสลัด หรือทำเป็นขนม เช่น แอปเปิ้ลพาย

8. ทับทิม (Pomegranates)

ประโยชน์: ทับทิมมีสารต้านอนุมูลอิสระสูงที่ช่วยป้องกันการเสื่อมของเซลล์สมองและส่งเสริมการทำงานของสมอง
สารอาหารสำคัญ: วิตามินซี วิตามินเค และโฟเลต
การบริโภค: ทานสดๆ ใส่ในสลัด หรือดื่มน้ำทับทิม

9. องุ่น (Grapes)

ประโยชน์: องุ่นมีสารเรสเวอราทรอล (Resveratrol) ที่ช่วยป้องกันการเสื่อมของสมองและเพิ่มการไหลเวียนของเลือดไปยังสมอง
สารอาหารสำคัญ: วิตามินซี วิตามินเค และสารต้านอนุมูลอิสระ
การบริโภค: ทานสดๆ หรือใส่ในสลัด

10. มะม่วง (Mangoes)

ประโยชน์: มะม่วงมีวิตามินบี6 และสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยส่งเสริมการทำงานของสมองและเพิ่มความจำ
สารอาหารสำคัญ: วิตามินซี วิตามินเอ และไฟเบอร์
การบริโภค: ทานสดๆ ใส่ในสลัด หรือทำเป็นสมูทตี้

สรุป

การบริโภคผลไม้ที่มีสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อสมองจะช่วยเสริมสร้างความจำ ความคิด และการเรียนรู้ ผลไม้เช่น บลูเบอร์รี่ สตรอว์เบอร์รี่ อะโวคาโด และกล้วย มีสารต้านอนุมูลอิสระ วิตามิน และแร่ธาตุที่ช่วยสนับสนุนสุขภาพสมอง ดังนั้น การรวมผลไม้เหล่านี้เข้ามาในอาหารประจำวันจะเป็นวิธีที่ดีในการดูแลสมองให้แข็งแรงและมีประสิทธิภาพ

Categories
บทความ

อาหารที่ช่วยเสริมสร้างสุขภาพกระดูกในร่างกาย

อาหารที่ช่วยเสริมสร้างสุขภาพกระดูกในร่างกาย

การดูแลสุขภาพกระดูกเป็นสิ่งสำคัญเพื่อป้องกันการเกิดโรคกระดูกพรุนและรักษาความแข็งแรงของร่างกายในระยะยาว อาหารที่บริโภคในแต่ละวันมีบทบาทสำคัญในการเสริมสร้างสุขภาพกระดูก นี่คือรายการของอาหารที่ช่วยเสริมสร้างสุขภาพกระดูกและคำแนะนำในการบริโภค:

1. นมและผลิตภัณฑ์จากนม

  • แคลเซียม: นมและผลิตภัณฑ์จากนม เช่น โยเกิร์ตและชีส เป็นแหล่งสำคัญของแคลเซียม ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญของกระดูก
  • วิตามินดี: นมบางชนิดยังเสริมวิตามินดี ซึ่งช่วยในการดูดซึมแคลเซียมเข้าสู่ร่างกาย

2. ปลาที่มีไขมัน

  • วิตามินดี: ปลาที่มีไขมันสูง เช่น ปลาแซลมอน ปลาทูน่า และปลาแมคเคอเรล มีวิตามินดีที่ช่วยเสริมสร้างกระดูก
  • โอเมก้า-3: กรดไขมันโอเมก้า-3 ในปลายังช่วยลดการอักเสบและส่งเสริมสุขภาพกระดูก

3. ผักใบเขียวเข้ม

  • แคลเซียม: ผักใบเขียวเข้ม เช่น คะน้า ผักโขม และบรอกโคลี มีแคลเซียมที่ช่วยเสริมสร้างกระดูก
  • วิตามินเค: ผักใบเขียวยังมีวิตามินเคซึ่งมีบทบาทในการเผาผลาญกระดูกและช่วยเสริมสร้างมวลกระดูก

4. ถั่วและเมล็ดพืช

  • แมกนีเซียม: ถั่วอัลมอนด์ เมล็ดฟักทอง และเมล็ดเชียเป็นแหล่งของแมกนีเซียม ซึ่งช่วยในการดูดซึมแคลเซียม
  • ฟอสฟอรัส: ถั่วและเมล็ดพืชยังมีฟอสฟอรัส ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญของโครงสร้างกระดูก

5. ธัญพืชเต็มเมล็ด

  • แมกนีเซียมและฟอสฟอรัส: ธัญพืชเต็มเมล็ด เช่น ข้าวโอ๊ต ข้าวกล้อง และควินัว มีแมกนีเซียมและฟอสฟอรัสที่ช่วยเสริมสร้างกระดูก
  • ไฟเบอร์และวิตามินบี: ธัญพืชเต็มเมล็ดยังมีไฟเบอร์และวิตามินบีที่ช่วยในการเสริมสร้างสุขภาพโดยรวม

6. ผลไม้ที่มีวิตามินซีสูง

  • วิตามินซี: ผลไม้เช่น ส้ม กีวี สตรอเบอร์รี่ และมะละกอ มีวิตามินซีซึ่งช่วยในการสร้างคอลลาเจน ส่วนประกอบสำคัญของกระดูก
  • สารต้านอนุมูลอิสระ: วิตามินซีในผลไม้ยังมีสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยลดการอักเสบและเสริมสร้างสุขภาพกระดูก

7. ไข่

  • วิตามินดี: ไข่แดงเป็นแหล่งของวิตามินดีที่สำคัญ ช่วยในการดูดซึมแคลเซียม
  • โปรตีน: ไข่ยังเป็นแหล่งโปรตีนที่ดี ช่วยในการสร้างและซ่อมแซมเนื้อเยื่อกระดูก

8. ผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง

  • แคลเซียมและโปรตีน: ผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง เช่น เต้าหู้และนมถั่วเหลือง มีแคลเซียมและโปรตีนที่ช่วยเสริมสร้างกระดูก
  • ไอโซฟลาโวน: สารไอโซฟลาโวนในถั่วเหลืองช่วยเพิ่มความหนาแน่นของกระดูก

คำแนะนำในการบริโภค

  • สมดุลอาหาร: ควรรับประทานอาหารที่หลากหลายและสมดุล เพื่อให้ได้รับสารอาหารที่จำเป็นในการเสริมสร้างกระดูก
  • ออกกำลังกาย: การออกกำลังกายเป็นประจำ เช่น การเดิน การวิ่ง และการยกน้ำหนัก จะช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของกระดูก
  • แสงแดด: รับแสงแดดอย่างเพียงพอเพื่อกระตุ้นการสร้างวิตามินดีในร่างกาย ซึ่งช่วยในการดูดซึมแคลเซียม

การดูแลสุขภาพกระดูกเป็นสิ่งที่สำคัญและควรให้ความสำคัญตั้งแต่วัยเยาว์ การเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อกระดูกจะช่วยให้กระดูกแข็งแรงและลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคกระดูกพรุนในอนาคต

Categories
บทความ

ปวดบริเวณกล้ามเนื้อขาหนีบ

ปวดบริเวณกล้ามเนื้อขาหนีบ ทำอย่างไรดี

ปวดขาหนีบ ทำอย่างไรดี

เรามาทำความรู้จักกล้ามเนื้อขาหนีบกันก่อนดีกว่าค่ะ กล้ามเนื้อขาหนีบหรือกล้ามเนื้อที่ใช้ในการหุบสะโพก (hip adductor muscle)
เป็นกลุ่มของกล้ามเนื้อที่ทำหน้าที่หุบขา มี 3 มัด คือ
– Adductor longus
– Adductor brevis
– Adductor magnus

สาเหตุของการเกิดการบาดเจ็บบริเวณกล้ามเนื้อขาหนีบ

1. เกิดจากการหมุนของขาออกนอกอย่างรุนแรง ขณะที่อยู่ในท่าขากาง ทำให้เกิดการยืด หรือฉีกขาดของเอ็นหรือกล้ามเนื้อ

2. มีการบาดเจ็บ เล็กๆน้อยๆ ซ้ำๆ ของกล้ามเนื้อขาหนีบ (hip adductor muscle)ที่เป็นอยู่ก่อนหน้านี้แล้ว

3. เกิดจากกล้ามเนื้อขาหนีบ (hip adductor muscle) ไม่ค่อยแข็งแรง แต่กล้ามเนื้อต้นขาด้านหน้า (quadriceps muscle) แข็งแรงมาก มันจะทำให้การทำงานของกล้ามเนื้อ 2 กลุ่มนี้ไม่สมดุลกัน เกิดการดึงรั้งซึ่งกันและกัน จึงทำให้เกิดการบาดเจ็บตามมา
อาการ
– จะรู้สึกปวดเหมือนมีมีด เสียบเข้าที่ขาหนีบ
– อาจจะปวดตื้อๆ
– จะปวดมากขึ้นเมื่อให้หนีบขาต้านแรง
– แพทย์จะตรวจพบ จุดกดเจ็บบริเวณเอ็นกล้ามเนื้อขาหนีบ (Hip adductor muscle)
– บางครั้ง อาจมีอาการเหมือนข้อสะโพกติดในตอนเช้า

วิธีการรักษา


– หากมีอาการบวมแดงร้อน ให้ประคบเย็นบริเวณที่มีอาการปวด ประมาณ 15-20 นาที ร่วมกับพักการใช้งาน
– หากเป็นมานาน และไม่มีอาการบวมแดงร้อน ให้ประคบอุ่นบริเวณที่มีอาการปวด ประมาณ 15-20 นาที แล้วยืดกล้ามเนื้อ
– การฉีดยา (Prolotherapy Injection) คือฉีดกลูโคสเข้าไปที่บริเวณกล้ามเนื้อที่ได้รับบาดเจ็บ หรือมีการอักเสบ เพื่อกระตุ้นให้เกิดการซ่อมแซมเร่งกระบวนการฟื้นฟูและรักษาตามธรรมชาติ โดยจะใช้เครื่องอัลตราซาวน์ในการนำการฉีดยา เพิ่มความปลอดภัยและแม่นยำในการฉีด และลดความเสี่ยงการฉีดไปโดนเส้นประสาท
– การรักษาทางกายภาพบำบัด เป็นการรักษาจากต้นเหตุของปัญหา แก้ไขโครงสร้างกระดูกกล้ามเนื้อที่เป็นปัญหาโดยตรง ฟื้นฟูให้คุณกลับมาทำกิจวัตรประจำวันหรือเล่นกีฬาได้อย่างปลอดภัยและไร้อาการเจ็บ ปัจจุบันวิธีการรักษาทางกายภาพบำบัดก้าวล้ำไปมาก มีทั้งเทคนิควิธีการรักษาที่ทันสมัยและเทคโนโลยีที่คุณภาพสูง

>การใช้ Therapeutic ultrasound เข้าไปช่วยเร่งกระบวนการซ่อมแซมของเนื้อเยื่อ โดยการเพิ่มการไหลเวียนของเลือด นำออกซิเจนและสารอาหารต่างๆ ซึ่งเป็นแหล่งพลังงานที่ใช้ในขบวนการซ่อมแซมมาให้กับเนื้อเยื่อเหล่านี้ คุณจะเห็นถึงผลต่างทันทีหลังการรักษา
>การใช้ High Power LASER therapy เข้าไปช่วยเร่งกระบวนการซ่อมแซมของเนื้อเยื่อ ช่วยลดปวด โดยกระตุ้นให้ไมโตรคอนเดรียซึ่งเป็นแหล่งพลังงานในเซลล์เนื้อเยื่อทำงานได้อย่างประสิทธิภาพในการซ่อมตัวเองเร็วยิ่งขึ้น เหมาะสำหรับเนื้อเยื่อที่มีน้ำหรือเลือดมาเลี้ยงน้อย อาทิเช่น เอ็นข้อต่อ เอ็นกล้ามเนื้อ ในร่างกาย

อ้างอิง https://rehabcareclinic.com/blog/ปวดขาหนีบ-ทำอย่างไรดี

 

Categories
บทความ

ปวดหลังโรคยอดฮิตของคนทำงาน

แก้ปวดหลังโรคยอดฮิตของคนทำงาน

ปวดหลัง โรคยอดฮิตของคนทำงาน
การปวดหลังเป็นปัญหาที่พบมากในผู้ที่ทำงานนั่งหรืองานที่ต้องใช้กล้ามเนื้อหลังอย่างต่อเนื่อง นี่คือบางข้อแนะนำที่อาจช่วยลดความเจ็บปวดหลังได้

1.การนั่งที่ถูกต้อง

ปรับท่านั่งให้ถูกต้องและสะดวกสบาย เช่น ควรนั่งตรง ไม่ควรก้มหน้าหรือโน้มตัวเกินไป เพื่อลดการกดทับกับหลัง

2.การยืดกล้ามเนื้อ

ทำการยืดกล้ามเนื้อหลังและไหล่อย่างเป็นประจำ เพื่อให้ร่างกายได้มีการเคลื่อนไหว และผ่อนคลายอยู่สม่ำเสมอ 

3.การเคลื่อนไหวและออกกำลังกาย

พยายามทำกิจกรรมที่ใช้แรงในการออกกำลังกาย เช่นการวิ่งเบาๆ การเดินเล่นในสนามหน้าบ้าน เพื่อให้ร่างกายได้เคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา

การเครื่องไหวและการยืดเวลา
  • ความสำคัญของการเครื่องไหว: การเครื่องไหวช่วยให้ร่างกายของคุณเตรียมตัวให้พร้อมกับกิจวัตรประจำวัน การทำความสะอาดเช่นการยืดตัวและการคลายเครียดเป็นวิธีที่ดีในการเริ่มต้นวัน
  • เทคนิคการยืดเวลา: การยืดตัวเบาๆ ค่อยๆ และค่อยๆ ยืดส่วนของกล้ามเนื้อทั้งหมด นอกจากนี้ยังมีการหมุนเวลาไปด้านที่สมมาตร

4.การใช้ที่นั่งที่ถูกต้อง

การใช้ท่านั่งที่ถูกต้อง เคล็ดลับสำหรับการรักษาสุขภาพร่างกายขณะทำงาน

การทำงานนั่งต่อเนื่องอาจมีผลกระทบต่อสุขภาพร่างกายได้หากไม่มีการใช้ท่านั่งที่ถูกต้อง การนั่งที่ไม่ถูกต้องอาจทำให้เกิดปัญหาเช่น ปวดหลัง ปวดคอ หรือความเครียดทางจิตใจ ดังนั้น ควรปฏิบัติตามคำแนะนำเหล่านี้เพื่อรักษาสุขภาพร่างกายขณะทำงาน

 การตั้งท่านั่งที่ถูกต้อง

  • นั่งตรง : ให้ทรงกระดูกหลังและคอตรง หลีกเลี่ยงการโน้มตัวไปข้างหน้าหรือก้มตัวเกินไปที่จะทำให้เกิดการอักเสบของกล้ามเนื้อหลังและคอในระยะยาว

  • รองรับส่วนล่างของร่างกาย : ให้เท้าท่ามกลางบนพื้นหรือใช้รองเท้าที่สามารถรองรับได้ดี อย่าให้เท้าแขนงหรือเท้าสะโพกลงไปสูงกว่าข้อเข่า

การปรับแต่งตำแหน่งท่านั่ง

  • การปรับเปลี่ยนท่า: ไม่ควรนั่งนานเกินไปในท่าเดิม ควรทำการยืดตัวและเปลี่ยนท่านั่งอย่างสม่ำเสมอทุก ๆ 30-60 นาที

  • การใช้เครื่องมือ: ใช้เก้าอี้ที่สามารถปรับสูงต่ำและก้านหัวเข็มได้เพื่อให้สามารถปรับท่านั่งได้ตรงกับความสูงของโต๊ะทำงาน

5.การพักผ่อนเพียงพอ

การพักผ่อนเพียงพอเพื่อให้ร่างกายสมดุลมีความสำคัญอย่างยิ่ง ไม่เพียงแค่ช่วยให้ร่างกายพักผ่อนจากการทำงานต่อเนื่อง แต่ยังช่วยรักษาสุขภาพร่างกายให้ดีขึ้นด้วย เช่น การยืดเวลา การออกกำลังกายเบาๆ การทำการหยุดพักที่สม่ำเสมอ

Categories
บทความ

โรคกระเพาะอาหารอักเสบ

โรคกระเพาะอาหารอักเสบ

โรคกระเพาะอาหารอักเสบ หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า โรคกระเพาะ เป็นโรคที่เกิดในระบบทางเดินอาหารที่พบได้บ่อยในปัจจุบัน ซึ่งเกิดจากพฤติกรรมที่เร่งรีบของคนในยุคนี้ ทำให้มีพฤติกรรมการรับประทานอาหารที่ไม่ถูกต้อง ถือเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้คนเป็นโรคกระเพาะอาหารอักเสบ โดยพบว่ามีผู้ป่วยโรคนี้ส่วนใหญ่มักมีอาการเป็นๆ หายๆ มากถึง 80%

แม้ว่าโรคกระเพาะอาหารอักเสบจะไม่ใช่โรคที่รุนแรง แต่ผู้ป่วยก็ไม่ควรนิ่งนอนใจ เพราะว่าหากปล่อยไว้เรื้อรังอาจทำให้เกิดแผลในกระเพาะอาหาร หรือมีเลือดไหลในกระเพาะอาหาร จนเกิดภาวะแทรกซ้อน อีกทั้งยังเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นโรคมะเร็งกระเพาะอาหารได้อีกด้วย!!!

 

สาเหตุของโรคกระเพาะอาหารอักเสบ

สาเหตุการเกิดโรคกระเพาะอาหารอักเสบยังไม่ทราบได้อย่างชัดเจน แต่พบว่าส่วนใหญ่มักมีปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรค ดังนี้

  • การติดเชื้อแบคทีเรียนเอชไพโลไร (H.pylori)
  • การรับประทานยากลุ่มยาต้านการอักเสบหรือยาแก้ปวด เช่น แอสไพริน ไอบูโพรเฟน เป็นต้น
  • สาเหตุอื่นๆ เช่น การสูบบุหรี่ การดื่มแอลกอฮอล์ เป็นต้น

นอกจากปัจจัยเสี่ยงดังกล่าวแล้ว ยังพบว่าพฤติกรรมต่างๆ ในการใช้ชีวิตก็มีส่วนกระตุ้นให้เกิดโรคกระเพาะอาหารอักเสบมากขึ้น เช่น การรับประทานอาหารไม่เป็นเวลา การรับประทานอาหารอย่างเร่งรีบ ภาวะความเครียด ความวิตกกังวล การรับประทานอาหารที่ส่งผลให้เกิดการระคายเคืองต่อกระเพาะและลำไส้

 

อาการโรคกระเพาะอาหารอักเสบ

อาการแสดงของผู้ป่วยแต่ละรายอาจแตกต่างกัน แม้ว่าจะมีอาการไม่ร้ายแรง แต่หากเกิดขึ้นนานเป็นสัปดาห์หรือมากกว่านั้น ควรรีบพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัย

  • ปวด เสียด ตื้อ จุก และแน่นบริเวณใต้ลิ้นปี่
  • ปวดท้อง รู้สึกไม้สบายช่องท้องส่วนบน
  • ท้องอืด ท้องเฟ้อ เรอบ่อย
  • ปวดท้องก่อนและหลังรับประทานอาหาร
  • ปวดท้องตอนท้องว่างหรือปวดท้องกลางดึก
  • มีอาการปวดแบบเป็นๆ หายๆ
  • คลื่นไส้หรืออาเจียนหลังรับประทานอาหาร
  • อาเจียนหรือถ่ายเป็นเลือด เนื่องจากมีเลือดออกในกระเพาะอาหาร
  • ไม่มีความอยากอาหาร เบื่ออาหาร และอาจผอมลง

 

การรักษาโรคกระเพาะอาหารอักเสบ

โรคกระเพาะอาหารอักเสบสามารถรักษาให้หายได้ หากได้รับการดูแลรักษาที่ดี และผู้ป่วยมีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตของตนเอง แต่หากปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของตนเองแล้ว อาการยังไม่ดีขึ้นควรพบแพทย์เพื่อเข้ารับการตรวจวินิจฉัยเพิ่มเติท เช่น การตรวจโดยการส่องกล้องระบบทางเดินอาหาร (Gastroscope: EGD) เพื่อหาสาเหตุและรับการรักษาอย่างถูกวิธี

อย่างไรก็ตามในเบื้องต้นแล้ว สิ่งสำคัญที่สุดในการรักษาโรคกระเพาะอาหารอักเสบ ผู้ป่วยควรปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวันของตนเอง ดังนี้

  • ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและโภชนาการ ได้แก่ รับประทานอาหารตรงเวลาทุกมื้อ รับประทานอาหารที่ย่อยง่าย
  • งดเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ เครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน
  • งดสูบบุหรี่ เนื่องจากเป็นปัจจัยที่ส่งผลให้เกิดแผลที่ลำไส้เล็กส่วนต้น
  • ไม่เครียดหรือวิตกกังวล และพักผ่อนให้เพียงพอ
  • รับประทานยาตามที่แพทย์สั่งให้ถูกต้องและสม่ำเสมอ
  • ไม่ซื้อยารับประทานเอง โดยไม่ปรึกษาแพทย์ พยาบาล หรือเภสัชกร

ที่มา https://www.sikarin.com/health/โรคกระเพาะอาหารอักเสบ