Categories
บทความ

โรคฮีทสโตรก…อันตรายถึงชีวิต !

โรคฮีทสโตรก…อันตรายถึงชีวิต

มาทำความรู้จักกับโรคลมแดดหรือโรคลมแดด หรือที่เรารู้จักกันในชื่อฮีทสโตรก (Heat Stroke) เป็นภาวะฉุกเฉินที่เกิดจากร่างกายมีความร้อนสูงเกินไป มักเป็นผลมาจากการสัมผัสหรือออกแรงทางกายภาพเป็นเวลานานในอุณหภูมิสูง ฮีตสโตรกสามารถเกิดขึ้นได้หากอุณหภูมิของร่างกายสูงถึง 40 ‘C (104’ F) หรือสูงกว่า ซึ่งถือได้ว่าเป็นอาการป่วยจากความร้อนที่ร้ายแรงที่สุด อาการนี้มักเกิดในช่วงที่อากาศร้อนหรืออากาศชื้น

ฮีตสโตรกจำเป็นต้องได้รับการรักษาอย่างเร่งด่วน หากปล่อยไว้โดยไม่รักษาจะสามารถทำลายอวัยวะต่างๆ ได้ทันที รวมถึงสมอง หัวใจ ไต และกล้ามเนื้อ หากได้รับการรักษาล่าช้า ความเสียหายจะรุนแรงขึ้น เพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง ทุพพลภาพในระยะยาว หรืออาจถึงแก่ชีวิตได้

สาเหตุของอาการฮีทสโตรก

ฮีทสโตรกแบ่งตามสาเหตุได้เป็น 2 ประเภทหลักๆ

โรคลมแดดที่ไม่ได้เกิดจากการใช้กำลังกายหนัก (classical heatstroke or non-exertional heatstroke: NEHS) 

การอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ร้อนทำให้อุณหภูมิร่างกายสูงขึ้น โรคลมแดดแบบคลาสสิกหรือแบบไม่ต้องออกแรงมักเกิดขึ้นหลังจากสัมผัสกับสภาพอากาศที่ร้อนและชื้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นเวลานาน

ฮีทสโตรกจากภายนอก

โรคลมแดดที่เกิดจากการออกแรงนั้นเกิดจากกิจกรรมที่ต้องใช้กำลังมากหรือการออกกำลังกายอย่างหนักในสภาพอากาศร้อน ส่งผลให้อุณหภูมิแกนกลางของร่างกายเพิ่มขึ้น

แม้ว่าใครก็ตามที่ออกกำลังกายหรือทำงานในสภาพอากาศร้อนสามารถเป็นโรคลมแดดได้ แต่ก็มีแนวโน้มที่จะพัฒนาได้หากคน ๆ หนึ่งไม่คุ้นเคยกับอากาศร้อน นอกจากนี้ โรคลมแดดยังเกิดขึ้นได้จากการสวมเสื้อผ้าที่หนาเกินไปซึ่งป้องกันเหงื่อไม่ให้ระเหยได้ง่าย และการดื่มแอลกอฮอล์ซึ่งส่งผลต่อการควบคุมอุณหภูมิ รวมถึงภาวะขาดน้ำจากการดื่มน้ำไม่เพียงพอเพื่อเติมของเหลวที่สูญเสียไปจากการขับเหงื่อ

ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดฮีทสโตรกหรือโรคลมแดด

  • อายุ ในเด็กหรือผู้สูงอายุความสามารถในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิร่างกายจะลดลง นอกจากนี้ ทั้งสองกลุ่มอายุมักจะมีปัญหาในการคงความชุ่มชื้น
  • โรคประจำตัวบางอย่าง: โรคเรื้อรังบางอย่าง เช่น โรคหัวใจและโรคปอด ตลอดจนโรคอ้วนและการไม่ออกกำลังกายอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นลมแดด
  • ยาบางชนิด ส่งผลต่อความสามารถของร่างกายในการรักษาความชุ่มชื้นและตอบสนองต่อความร้อนอย่างเหมาะสม ยาเหล่านี้รวมถึงยาขยายหลอดเลือด  ยาขับปัสสาวะ และยาทางจิตเวช เช่น ยาต้านอาการซึมเศร้า ยารักษาโรคจิต และยากระตุ้นจิต สารกระตุ้นที่ผิดกฎหมาย เช่น แอมเฟตามีนและโคเคนยังทำให้ผู้คนเสี่ยงต่อโรคลมแดดอีกด้วย
  • การสัมผัสกับสภาพอากาศที่ร้อนจัดอย่าง
  • อุณหภูมิที่สูงขึ้นอย่างกะทันหัน ผู้คนจะเป็นโรคลมแดดได้ง่ายขึ้นหากพวกเขาสัมผัสกับอุณหภูมิที่เพิ่มขึ้นอย่างกะทันหัน เช่น ในช่วงต้นฤดูร้อน คลื่นความร้อน หรือเมื่อพวกเขาเดินทางไปยังที่ที่มีอากาศร้อนจัด อันเนื่องมาจากโรคลมแดด

สัญญาณและอาการฮีทสโตรก

  • อุณหภูมิร่างกายหลัก 40 ‘C หรือสูงกว่า
  • สภาวะทางจิตหรือพฤติกรรมเปลี่ยนแปลง เช่น สับสน กระสับกระส่าย หงุดหงิด เพ้อ ชัก และโคม่า
  • หายใจเร็วและหัวใจเต้นเร็ว
  • ปวดศีรษะ
  • คลื่นไส้อาเจียน
  • ผิวหนังแดงร้อนและแห้ง อย่างไรก็ตาม ในอาการฮีทสโตรกที่เกิดจากการออกกำลังกายอย่างหนัก ผิวหนังอาจรู้สึกชื้นเล็กน้อย

การวินิจฉัยฮีทสโตรก

ในการวินิจฉัยฮีทสโตรกจำเป็นต้องได้รับประวัติทางการแพทย์ที่เกี่ยวข้องกับการสัมผัสความร้อนรวมถึงปัจจัยเสี่ยงที่กระตุ้นให้เกิดฮีทสโตรก นอกจากการตรวจร่างกายและการวัดอุณหภูมิร่างกายแล้ว การตรวจทางห้องปฏิบัติการและการใช้รังสีวินิจฉัยอาจใช้เพื่อช่วยยืนยันการวินิจฉัย แยกแยะสาเหตุที่เป็นไปได้อื่นๆ และประเมินความเสียหายของอวัยวะที่เกี่ยวข้อง
หากบุคคลนั้นอาจมีอาการฮีทสโตรก ขอแนะนำให้ขอความช่วยเหลือทางการแพทย์ทันทีจากบริการฉุกเฉินที่ใกล้ที่สุด
ในผู้ป่วยที่มีภาวะทางระบบประสาทอยู่ก่อนแล้ว เช่น โรคปลอกประสาทเสื่อมแข็ง โรคหลอดเลือดสมอง หรือโรคลมบ้าหมู อาการเหล่านี้อาจรุนแรงขึ้นหลังจากสัมผัสกับอุณหภูมิสูงเป็นเวลานาน

การรักษาฮีทสโตรก

การปฐมพยาบาลเกี่ยวข้องกับการดำเนินการทันทีเพื่อลดอุณหภูมิร่างกายของผู้ที่ร้อนจัดขณะรอการรักษาฉุกเฉิน

  • ให้ผู้ป่วอยู่ในที่ร่มหรือในอาคารที่มีเครื่องปรับอากาศ
  • ถอดเสื้อผ้าส่วนเกินหรือคับออก
  • ทำให้ผู้ป่วยมีอุณหภูมิเย็นลงด้วยวิธีใดก็ตาม เช่น วางถุงน้ำแข็งหรือผ้าเย็นที่เปียกบนศีรษะ คอ รักแร้ และขาหนีบ วางผู้ป่วยในอ่างน้ำเย็นหรือฝักบัวเย็น แล้วฉีดน้ำขณะรอรถพยาบาล

ประเด็นสำคัญอีกประการหนึ่งที่ต้องจำไว้ในขณะที่ให้ความช่วยเหลือในการปฐมพยาบาลคือ บุคคลที่ร้อนเกินไปจะต้องงดเว้นจากเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลหรือแอลกอฮอล์โดยเด็ดขาด เนื่องจากเครื่องดื่มเหล่านี้จะเปลี่ยนแปลงความสามารถของร่างกายในการควบคุมอุณหภูมิแกนกลาง นอกจากนี้ ต้องหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มเย็น ๆ เพราะอาจทำให้เส้นเลือดและกระเพาะอาหารตีบตัน ทำให้เกิดตะคริวที่ท้องได้

ภาวะแทรกซ้อนจากฮีทสโตรก

หากไม่รักษาฮีทสโตรกอย่างทันท่วงที อาจส่งผลให้เกิดภาวะแทรกซ้อนต่างๆ ขึ้นกับอุณหภูมิร่างกายที่สูงเป็นเวลานาน หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันที โรคลมแดดอาจถึงแก่ชีวิตได้ ภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง ได้แก่

  • สมอง ชัก สมองบวม และเซลล์ประสาทถูกทำลายอย่างถาวร
  • กล้ามเนื้อ การสลายของกล้ามเนื้อโครงร่าง (rhabdomyolysis)
  • ไต การบาดเจ็บของไตเฉียบพลันที่เกิดจากการสลายตัวของกล้ามเนื้อโครงร่างที่ปล่อยสารเข้าสู่กระแสเลือด
  • ตับ ความผิดปกติของตับเฉียบพลันที่เกิดจากการขาดน้ำและเลือดไปเลี้ยงตับน้อยลง
  • หัวใจ: ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะและภาวะหัวใจล้มเหลวที่เกิดจากหัวใจทำงานหนักเกินไป
  • ปอด ภาวะปอดร้ายแรงที่ทำให้ออกซิเจนในเลือดต่ำ (กลุ่มอาการหายใจลำบากเฉียบพลัน)
  • ระบบการแข็งตัวของเลือด ภาวะเลือดออกผิดปกติ หรือลิ่มเลือดอุดตันในร่างกาย

การป้องกัน

เพื่อป้องกันโรคลมแดด แนะนำให้ปฏิบัติตามขั้นตอนต่อไปนี้

  1. สวมเสื้อผ้าที่หลวมหรือบางเมื่อสัมผัสกับความร้อนหรือบริเวณที่อากาศถ่ายเทไม่สะดวก
  2. ป้องกันผิวไหม้แดดด้วยการสวมหมวกปีก แว่นกันแดด และทาครีมกันแดดที่มีค่ากันแดดอย่างน้อย SPF15
  3. จิบดื่มน้ำบ่อยๆ และให้เพียงพอเพื่อรักษาอุณหภูมิร่างกายให้ปกติ
  4. ปรึกษาแพทย์ประจำตัว เพราะยารักษาโรคบางชนิดที่ส่งผลต่อความสามารถของร่างกายในการควบคุมอุณหภูมิความร้อน
  5. หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ต้องใช้แรงมาก งดออกกำลังกายอย่างหนักในบริเวณที่ร้อน ชื้น หรืออากาศถ่ายเทไม่สะดวก ถ้าหลีกเลี่ยงไม่ได้ก็ใช้เวลาให้น้อยที่สุด

Cr. https://bangkokpattayahospital.com/th/health-articles-th/neuroscience-th/heat-stroke/

Categories
บทความ

ภาวะปวดข้อต่ออุ้งเชิงกรานในวัยทำงาน

ภาวะปวดข้อต่ออุ้งเชิงกรานในวัยทำงาน

คนวัยทำงานในปัจจุบันมักทำงานอยู่ในท่านั่ง นั่งหน้าคอมพิวเตอร์ หรือนั่งประชุมติดต่อกันเป็นเวลานาน โดยเฉพาะใน 2-3 ปีที่ผ่านมาในสถานการณ์โรคระบาด ทำให้หนุ่มสาวออฟฟิศส่วนใหญ่ต้องทำงาน work from home อยู่ที่บ้าน ยิ่งทำให้ต้องนั่งติดต่อกันนาน ไม่ได้ลุกขึ้นยืน หรือเปลี่ยนท่าทางตลอดทั้งวัน ยิ่งไปกว่านั้นหากบ้านใดไม่มีโต๊ะทำงาน หรือเก้าอี้ทำงานที่ถูกหลักการยศาสตร์ (ergonomics) ทำให้จำเป็นต้องนั่งพื้น, นั่งทำงานที่โต๊ะญี่ปุ่น, กึ่งนั่งกึ่งนอนพิงหัวเตียงในการทำงาน ซึ่งท่าทางเหล่านี้เป็นปัจจัยที่ส่งเสริมทำให้เกิดความผิดปกติทางร่างกายตามมา เช่น ภาวะปวดคอบ่า ออฟฟิศซินโดรม (office syndrome), ภาวะปวดหลังส่วนล่าง (low back pain) และอาจส่งผลทำให้กระดูกบริเวณก้นกบ (coccyx), กระเบนเหน็บ (sacrum) หรือเนื้อเยื่อบริเวณอุ้งเชิงกราน (pelvic girdle) บาดเจ็บได้ เรียกภาวะนี้ว่า ภาวะปวดข้อต่ออุ้งเชิงกราน (sacroiliac joint dysfunction) (1)

ภาวะปวดข้อต่ออุ้งเชิงกราน (sacroiliac joint dysfunction หรือ SI joint pain) คือ โรคที่เกิดจากความผิดปกติของข้อต่อบริเวณเชิงกราน ซึ่งเป็นข้อต่อที่เชื่อมระหว่างกระดูกสันหลังส่วนกระเบนเหน็บ (sacrum) และกระดูกเชิงกราน (ilium) ดังรูปที่ 1 ซึ่งมีหน้าที่ในการรองรับน้ำหนักตัว (body absorption) ที่จะส่งผ่านแรงจากลำตัวส่วนบน (upper body parts) ต่อไปยังเชิงกราน และรยางค์ส่วนล่าง (lower limbs) ซึ่งระหว่างข้อต่อจะมีเอ็นเชื่อมระหว่างกระดูกทั้งสองที่ช่วยส่งผ่านแรงต่าง ๆ เรียกว่า เอ็นก้นกบ (sacrotuberous ligament) แรงที่ข้อต่อสามารถรองรับได้ เช่น แรงเฉือน (shearing), แรงบิด (torsion), แรงหมุน (rotation) และแรงดึง (tension) ซึ่งหากมีแรงกระทำที่มากเกินไป, การเคลื่อนไหวที่ผิดปกติ หรือการวางตัวของแนวกระดูกผิดไปจากเดิม, การเสื่อมของข้อต่อ (osteoarthritis), ข้อต่อหลวม (joint laxity), เส้นเอ็นที่ยึดข้อเชิงกรานอักเสบ (sacroiliitis) หรือการยึดรั้งข้อต่อ (joint stiffness) จนทำให้เกิดการเสียดสีของกระดูกจนเจ็บปวดขึ้นในขณะเคลื่อนไหวได้ อาการปวดอุ้งเชิงกรานที่อาจจะเกิดขึ้น ได้แก่

– อาการปวดที่บริเวณอุ้งเชิงกราน หรือบริเวณสะโพก มักจะเกิดอาการปวดขณะนั่ง, เดินลงน้ำหนักข้างที่ปวด, นอนตะแคงทับข้างที่ปวด, ขณะเดินขึ้นลงบันได หรือขณะที่เปลี่ยนท่าทาง เช่น เปลี่ยนจากท่านั่งลุกขึ้นยืน, นอนพลิกตะแคงตัว

– อาการมักเกิดขึ้นได้ในลักษณะของอาการปวดแหลม (sharp pain), ปวดคล้ายเข็มเสียดแทง (stabbing pain) หรืออาการปวดร้าว (shooting pain) ซึ่งอาจปวดร้าวลงไปที่บริเวณก้นย้อย, ขา หรือปลายเท้าข้างที่มีอาการ โดยเฉพาะบริเวณต้นขาด้านหลัง

– อาการชา (numbness) ร้าวลงขาที่เกิดจากเส้นประสาทไซอาติก (sciatic nerve) โดนกดเบียดบริเวณข้อต่ออุ้งเชิงกราน ซึ่งมีอาการชาคล้ายกับโรคกระดูกสันหลังทับเส้นประสาท (disc herniation) จนทำให้เกิดการวินิจฉัยคลาดเคลื่อนได้ หากอาการกดเบียดเส้นประสาทเกิดขึ้นเป็นเวลานาน อาจจะทำให้เกิดอาการแขนขาอ่อนแรง (weakness) หรือปวดเมื่อย (fatique) ตามแขนขาได้บ่อยขึ้น (1-3)

รูปที่ 1 แสดงตำแหน่งของกระดูกส่วนต่าง ๆ ของบริเวณข้อต่ออุ้งเชิงกราน

การรักษาทางกายภาพบำบัดในภาวะปวดข้อต่ออุ้งเชิงกรานมีวัตถุประสงค์ตั้งแต่ การดูแลภาวะอักเสบขณะเกิดอาการปวดขึ้นเฉียบพลัน (acute pain) โดยใช้แผ่นประคบเย็น (cold pack) หรือร่วมกับการใช้ยาลดการอักเสบ (anti-inflammatory medication) จากคำแนะนำของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญในการช่วยลดอาการปวดและการอักเสบ ในผู้ป่วยที่มีภาวะข้อต่อเชิงกรานยึดรั้ง การรักษาด้วยวิธีช่วยขยับข้อต่อ (mobilization) จากนักกายภาพบำบัด จะทำให้ข้อต่อเชิงกรานเคลื่อนไหวได้ดีขึ้น นอกจากนี้การออกกำลังกายกล้ามเนื้อมัดใหญ่ โดยเฉพาะกล้ามเนื้อแกนกลางลำตัว (lumbar core stabilizer muscle) และกล้ามเนื้อสะโพก (gluteal muscle) จะทำให้กล้ามเนื้อเหล่านี้ช่วยกระชับข้อต่อ, ลดแรงกระทำต่อข้อต่อที่มากเกินไป และยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานร่วมกับข้อต่อสำหรับการทำกิจกรรมต่างๆ ในขีวิตประจำวัน เช่น การเดิน, การลุกขึ้นยืน-ลงนั่งเก้าอี้ หรือการเดินขึ้นลงบันได

 

Cr. https://pt.mahidol.ac.th/knowledge/?p=2804

Categories
บทความ

อาการปวดกล้ามเนื้อและกระดูก

อาการปวดกล้ามเนื้อและกระดูก

อาการปวดกล้ามเนื้อและกระดูก

อาการปวดกล้ามเนื้อและกระดูก เป็นอาการเจ็บปวดของกล้ามเนื้อ กระดูก ข้อต่อ และเส้นเอ็น อาการปวดอาจเกิดขึ้นที่บริเวณใดบริเวณหนึ่งหรือทั่วร่างกาย อาการปวดกล้ามเนื้อและกระดูกเฉียบพลันอาจเป็นผลมาจากการได้รับบาดเจ็บอย่างฉับพลัน ส่วนอาการปวดเรื้อรังอาจเกิดจากภาวะเสื่อมถอยของร้างกาย โรคข้ออักเสบ หรือโรคไฟโบรมัยอัลเจีย (fibromyalgia) หากอาการปวดรบกวนการใช้ชีวิตประจําวัน ควรปรึกษาแพทย์เพื่อเข้ารับการรักษาที่เหมาะสมเพื่อจะได้มีคุณภาพชีวิตที่ดีต่อไป

ประเภทของอาการปวดกล้ามเนื้อและกระดูก

  • อาการปวดกล้ามเนื้อ: เช่น กล้ามเนื้อเป็นตะคริว หดเกร็ง กระตุก บาดเจ็บ ติดเชื้อ หรือมีเนื้องอก
  • อาการปวดกระดูก: เนื่องจากกระดูกแตก ได้รับบาดเจ็บ  หรือเนื้องอกกระดูก ซึ่งอาจทําให้ปวดกระดูกได้เช่นกันแต่พบได้น้อย
  • อาการปวดข้อ: จากการข้ออักเสบ ข้อติด หรือติดเชื้อในข้อ  
  • อาการปวดเอ็นยึดกระดูกและเอ็นกล้ามเนื้อ: เนื่องจากการฉีกขาด เคล็ดขัดยอก หรือการใช้งานที่หนักเกินไป

สาเหตุของอาการปวดกล้ามเนื้อและกระดูก
อาการปวดกล้ามเนื้อและกระดูกอาจเป็นผลมาจากท่าทางของร่างกายที่ไม่เหมาะสม กล้ามเนื้อเคล็ดขัดยอก การใช้งานกล้ามเนื้อซ้ำ ๆ กระดูกหัก หรือข้อต่อโดนกระแทกจนข้อต่อหลุด เป็นต้น

อาการของการปวดกล้ามเนื้อและกระดูก

อาการของการปวดกล้ามเนื้อและกระดูกนั้นแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับสาเหตุของโรค โดยผู้ป่วยอาการที่พบบ่อย ได้แก่

  • ปวดกล้ามเนื้อ ซึ่งอาจเป็นมากขึ้นเวลาขยับร่างกายส่วนนั้น ๆ
  • ตึงยึดของแขน ขา หรือลำตัว รวมถึงอาจมีกล้ามเนื้อกระตุก
  • รู้สึกกล้ามเนื้อเมื่อยล้าในช่วงกลางวัน หรือมีนอนหลับได้ยากในช่วงกลางคืน

การตรวจวินิจฉัย

แพทย์จะสอบถามเกี่ยวกับอาการปวด และอาการอื่น ๆ เช่น มีไข้ ร่วมด้วยหรือไม่  อะไรที่บรรเทาหรือทำให้อาการแย่ลง ร่วมกับประวัติการรักษาก่อนหน้า รวมถึงโรคประจำตัว  แพทย์จะตรวจร่างกายเพื่อระบุสาเหตุของอาการและอาจสั่งให้ทำการตรวจวินิจฉัยด้วยวิธีต่าง ๆ เช่น เอกซ์เรย์ การตรวจวินิฉัยด้วยเครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ การตรวจวินิจฉัยด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า หรือตรวจเลือดเพิ่มเติม

การรักษา

เมื่อระบุสาเหตุของอาการปวดได้แล้ว แพทย์จะวางแผนการรักษาซึ่งท่านจะเป็นส่วนหนึ่งในการร่วมเลือกและตัดสินใจ หากอาการปวดนั้นสามารถรักษาได้ด้วยวิธีที่ไม่ต้องผ่าตัด ( หรือท่านไม่ต้องการผ่าตัด) แพทย์อาจสั่งยาแก้ปวด ฉีดยาสเตียรอยด์  ปักเข็มคลายกล้ามเนื้อ ฝังเข็ม หรือให้ท่านใส่อุปกรณ์พยุงร่างกายในส่วนที่มีอาการเจ็บ และแพทย์อาจแนะนำให้ทำกายภาพบําบัด กิจกรรมบําบัด ทำกายอุปกรณ์จัดกระดูก หรือนวดบําบัดทางการแพทย์

เมื่อมีอาการปวดกล้ามเนื้อและกระดูก ท่านควรปฎิบัติตัวตามคำแนะนำของแพทย์หรือบุคลากรทางการแพทย์ที่ให้การบำบัดรักษาร่วมด้วย เช่น การรับประทานยา การปรับวิธีการทำงานในชีวิตประจำวันให้อยู่ในท่าทางที่เหมาะสม   โดยเฉพาะในวันที่อาการปวดเป็นเฉียบพลัน หรือเป็นมากขึ้น ให้ประคบเย็นเพื่อลดอาการบวมและอักเสบ งดใช้งานกล้ามเนื้อ กระดูก และข้อต่อที่ได้รับบาดเจ็บ  ต่อมาเมื่ออาการปวดเริ่มทุเลาให้เปลี่ยนเป็นประคบอุ่นและค่อยๆยืดเหยียด และออกกำลังกายเพิ่มความแข็งแรงของส่วนที่ปวดไปที่ละน้อยๆทุกวัน  โดยทำในแบบที่ไม่ทำให้เกิดการปวดเพิ่มขึ้น

หากท่านสูบบุหรี่ ควรงดสูบบุหรี่เพราะบุหรี่จะทำให้เกิดอาการอักเสบมากขึ้นได้

การป้องกัน

  • หมั่นออกกําลังกายและยืดเหยียดกล้ามเนื้อเป็นประจําเพื่อให้กล้ามเนื้อ กระดูก และข้อต่อแข็งแรง
  • หลีกเลี่ยงการทำท่าทางซ้ำ ๆ เป็นเวลานานเพราะจะทำให้เกิดอาการบาดเจ็บจากการใช้งานกล้ามเนื้อและข้อต่อมากเกินไป
  • เรียนรู้เรื่อง การยศาสตร์ เช่น วิธียกของหนักที่ถูกต้อง, การเลือกโต๊ะเก้าอี้และท่าทางที่ถูกต้องในการทำงานคอมพิวเตอร์ และนำไปปรับใช้เพื่อให้มีท่าทางที่ถูกต้องเหมาะสมได้ตลอดวัน

บทความโดย
พญ.เนตรยา นิ่มพิทักษ์พงศ์

แพทย์ผู้ชำนาญการด้านเวชศาสตร์ฟื้นฟูและกายภาพบำบัด

Cr. https://www.medparkhospital.com/disease-and-treatment/musculoskeletal-pain

Categories
บทความ

ภาวะข้อไหล่หลุด อาการเป็นอย่างไร

ภาวะข้อไหล่หลุด อาการเป็นอย่างไร จำเป็นต้องรักษาด้วยการผ่าตัดหรือไม่?

ข้อไหล่หลุด

หลายคนที่มีอาการปวดหัวไหล่ ปวดไหล่ อาจจะเกิดความสงสัยว่าตนเองเข้าข่าย “ภาวะไหล่หลุด” หรือไม่ อาการปวดไหล่ที่กำลังเผชิญอยู่เป็นอาการอะไรกันแน่ ? 

ทั้งนี้ข้อไหล่หลุดเป็นภาวะที่สามารถพบได้ทั่วไป ซึ่งส่วนใหญ่มักจะมีสาเหตุจากการใช้ชีวิตประจำวัน หรืออุบัติเหตุที่เกิดขึ้นในขณะที่ทำกิจกรรม ทำให้หัวไหล่เกิดความผิดปกติ ผิดรูป และรู้สึกปวดไหล่ ที่สำคัญถ้าหากเกิดภาวะไหล่หลุดกับตัวคุณเองไม่ควรพยายามที่จะดึงไหล่ให้กลับมาในองศาเดิม เพราะอาจจะทำให้อาการรุนแรงมากกว่าเดิม  

บทความนี้จะช่วยให้คุณเข้าเกี่ยวกับภาวะข้อไหล่หลุด ว่ามีสาเหตุมาจากอะไร อาการไหล่หลุดเป็นอย่างไร แบบไหนถึงเรียกว่าภาวะข้อไหล่หลุด พร้อมทั้งแนะนำวิธีรักษาวิธีปฐมพยาบาลเบื้องต้นเมื่อหัวไหล่หลุด และแนวทางในการป้องกันอาการหัวไหล่หลุด เนื่องจากภาวะสามารถเกิดได้กับทุกคน

ภาวะข้อไหล่หลุด (Dislocated Shoulder)

ภาวะข้อไหล่หลุด (Dislocated Shoulder) เป็นอาการที่สามารถพบได้ทั่วไป และสามารถเกิดได้กับทุกคนไม่ว่าจะเป็นเพศ หรือวัยไหนก็ตาม โดยที่ข้อไหล่หลุดออกจากเบ้า ส่วนใหญ่มักหลุดไปทางด้านหน้า (Anterior Shouulder Dislocation) ซึ่งมีสาเหตุมาจากการไม่เข้ากันระหว่างหัวกระดูกและเบ้ากระดูกของหัวไหล่ ผู้ป่วยสามารถสังเกตอาการไหล่หลุดได้จากลักษณะที่แปลกไปของหัวไหล่ อาการชาจากการบาดเจ็บ ขยับไหล่ไม่ได้ และอาการปวดที่หัวไหล่หรือบริเวณรอบๆ อย่างรุนแรง 

ที่สำคัญสำหรับอาการไหล่หลุดยกแขนไม่ขึ้น ผู้ป่วยไม่ควรพยายามที่จะดึงหรือเคลื่อนไหวไหล่กลับสู่ตำแหน่งเดิมด้วยตนเอง เพราะจะทำให้เกิดความเสียหายหรืออาการไหล่หลุดแย่ลงกว่าเดิม หากมีเกิดอาการไหล่หลุดควรรีบไปพบแพทย์เพื่อเข้ารับการรักษาที่ถูกวิธี และสำหรับผู้ที่เคยมีประวัติไหล่หลุดอาจจะเกิดอาการซ้ำได้ในอนาคต 


ไหล่หลุดเกิดจากสาเหตุใด

สาเหตุของไหล่หลุด

อาการไหล่หลุดนับเป็นเรื่องที่ไม่ไกลตัว เนื่องจากข้อไหล่เป็นข้อที่มีพิสัยการเคลื่อนไหวได้มากที่สุดในร่างกาย และมีโอกาสหลุดได้ง่ายกว่าข้ออื่นๆ โดยไหล่หลุดเป็นอาการที่สามารถเกิดได้กับทุกคน ลองมาดูสาเหตุที่ทำให้ไหล่หลุด เกิดจากอะไร

1. อุบัติเหตุที่ส่งผลต่อไหล่

สาเหตุของอาการไหล่หลุดที่เกิดจากอุบัติเหตุเป็นเหตุการณ์ที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ และมักเกิดจากความไม่ตั้งใจหรือประมาท ไม่ว่าจะเป็น รถล้ม ตกจากที่สูง หรือถูกฉุดแขนแรงเกินไป เมื่อข้อไหล่ถูกกระแทกอย่างแรงสามารถทำให้กระดูกหลุดมานอกเบ้าได้ 

2. การเล่นกีฬาบางประเภท

นอกจากสาเหตุที่มาจากอุบัติเหตุแล้ว การเล่นกีฬาบางประเภทยังเป็นอีกสาเหตุหลักของภาวะข้อไหล่หลุด เนื่องจากกีฬาบางประเภทจำเป็นที่ต้องรับแรงกระแทกที่รุนแรง รวมไปถึงการชน หกล้ม และการกระชากแขนในขณะที่เล่นกีฬา ไม่ว่าจะเป็น รักบี้ ว่ายน้ำ บาสเกตบอล ฟุตบอล และอเมริกันฟุตบอล เป็นต้น 

3. พันธุกรรมทางกายวิภาค

นอกจากการกระแทกอย่างรุนแรงแล้ว อาการไหล่หลุดยังถูกนับเป็นโรคทางพันธุกรรมที่เรียกว่า ข้อหลวม (Joint Laxity) ซึ่งผู้ป่วยข้อหลวมบริเวณข้อต่อที่เป็นเนื้อเยื่ออ่อนจะมีความยืดหยุ่นสูงกว่าปกติ ทำให้ผู้ป่วยในกลุ่มนี้ข้อยืดและหลุดได้ง่ายกว่า จึงเป็นสาเหตุทำให้ผู้ป่วยข้อหลวมมีเกิดโอกาสเสี่ยงการเกิดภาวะไหล่หลุดมากกว่าคนทั่วไป 

4. การตึงของกล้ามเนื้อที่ผิดปกติ

อาการตึงของกล้ามเนื้อที่ผิดปกติ สามารถทำให้ข้อไหล่หลุดไปทางด้านหลังได้ ซึ่งมีสาเหตุมาจากไฟช็อต ไฟดูด หรือโรคลมชัก เป็นต้น แต่สาเหตุการตึงของกล้ามเนื้อที่ผิดปกติทำให้ข้อไหล่หลุดนั่นเป็นสาเหตุที่พบได้ไม่บ่อยมากนัก 

5. การเสื่อมสภาพตามอายุ

อายุเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้เกิดโอกาสเสี่ยงไหล่หลุดมากขึ้น โดยจากผลสำรวจพบว่าในเด็ก วัยรุ่น และผู้สูงอายุมีโอกาสเสี่ยงที่จะเกิดอาการไหล่หลุดได้มากที่สุด พร้อมทั้งในเด็กที่อายุน้อยกว่า 19 ปี หากมีประวัติภาวะข้อไหล่หลุดมีโอกาสที่จะเกิดอาการไหล่หลุดซ้ำได้สูงถึง 90 – 95% 

6. ข้อต่อไม่แข็งแรงในเด็ก

อาการไหล่หลุดในเด็กมีสาเหตุมาจากเส้นเอ็นในข้อต่อของเด็กยังไม่มีความแข็งแรงมั่นคงเท่าเส้นเอ็นและกล้ามเนื้อของผู้ใหญ่ ดังนั้นถ้าหากเกิดการกระชาก หรือการกระแทกในขณะที่เล่น หรือกำลังทำกิจกรรมอาจจะทำให้กระดูก Radius และเส้นเอ็นหลุดออกจากกันและเคลื่อนที่ได้ง่าย และกลายเป็นภาวะข้อไหล่หลุดในเด็กนั่นเอง 


อาการไหล่หลุดเป็นอย่างไร

กระดูกไหล่หลุดเป็นอาการที่เด่นชัด ผู้ป่วยสามารถสังเกตได้ด้วยตาเปล่า และอาการปวดบริเวณรอบข้อต่อ โดยอาการไหล่หลุดที่พบมักมีสาเหตุมาจากการทำกิจกรรม เล่นกีฬาบางประเภท และอุบัติเหตุ ซึ่งอาการของภาวะข้อไหล่หลุด มีดังนี้  

  • หัวกระดูกหัวไหล่หลุดออกจากเบ้าไหล่ สามารถหลุดได้หลายทิศทาง ไม่ว่าจะเป็น ด้านหน้า ด้านข้าง และด้านหลัง 
  • ข้อไหล่มีรูปร่างผิดแปลกจากเดิม ได้แก่ มีก้อนนูนขึ้นมาด้านหน้าเพราะหัวไหล่หลุดมาด้านหน้าด้าน หรือ ด้านข้างของไหล่แฟบลง 
  • รู้สึกปวดบริเวณหัวไหล่และบริเวณรอบข้างมากกว่า บางครั้งอาจจะมีอาการปวดรุนแรงจนถึงขั้นไม่สามารถขยับหรือเคลื่อนไหวได้ 
  • รู้สึกเจ็บเหมือนมีเข็มทิ่ม และชารอบข้าง เช่น คอหรือแขน
  • เมื่อกล้ามเนื้อที่หัวไหล่เกิดอาการเกร็ง หรือกล้ามเนื้อกระตุกจะรู้สึกเจ็บมากขึ้นเรื่อยๆ 

ใครบ้างที่เสี่ยงข้อไหล่หลุด

กลุ่มเสี่ยงภาวะไหล่หลุด

แม้ว่าอาการไหล่หลุดจะเป็นอาการที่สามารถเกิดได้กับทุกคนเพศ ทุกวัย แต่ยังมีกลุ่มคนที่มีโอกาสเสี่ยงเกิดภาวะข้อไหล่หลุดมากกว่าคนทั่วไป ได้แก่  

  • ในวัยเด็ก วัยรุ่น และผู้สูง ที่ข้อต่อหลวมเนื่องจากสภาพร่างกายที่ยังพัฒนาไม่เต็มที่ หรือเสื่อมสภาพตามอายุ มีโอกาสเสี่ยงเกิดอาการไหล่หลุด
  • ผู้ที่เคยมีประวัติไหล่หลุดมากก่อน 
  • ผู้ที่เป็นโรคภาวะข้อหลวม ที่ทำให้ข้อต่อในร่างกายหลุดได้ง่ายกว่าคนทั่วไป 
  • ผู้ที่เล่นกีฬาที่จำเป็นต้องมีการปะทะ กระแทก หรือชนระหว่างเล่น เช่น รักบี้ อเมริกันฟุตบอลบาสเกตบอล 
  • นักกีฬาที่จำเป็นต้องยกแขนเหนือศีรษะมีโอกาสเสี่ยงไหล่หลุดมากกว่ากีฬาอื่นๆ เช่น นักว่ายน้ำ นักเทนนิส และนักยิมนาสติก เป็นต้น 

การตรวจวินิจฉัยภาวะข้อไหล่หลุด

สำหรับผู้ป่วยที่มีอาการไหล่หลุด ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจร่างกายและเข้ารับการรักษาทันที โดยแพทย์จะทำการวินิจฉัยภาวะข้อไหล่หลุดเบื้องต้นด้วยการตรวจร่างกาย พร้อมทั้งดูลักษณะภายนอก ได้แก่ อาการบวม แดง การไหลเวียนของเลือดและความผิดปกติอื่นๆ บริเวณรอบข้อหัวไหล่ 

ทั้งนี้ถ้าหากแพทย์วินิจฉัยอาการไหล่หลุดว่ามีความรุนแรงและเสียหายภายในกระดูก แพทย์จะใช้วิธีเอกซเรย์ (X-ray) เพื่อตรวจหากว่ามีจุดใดบ้างที่กระดูกหักหรือได้รับความเสียหาย และในบางกรณีแพทย์อาจจะใช้การตรวจด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI) เพื่อหาความผิดปกติของกล้ามเนื้อและเส้นเอ็น ว่าได้รับความเสียหายมากน้อยเพียงใด เพื่อประกอบการวินิจฉัยและรักษาได้ตรงจุดมากที่สุด 


วิธีปฐมพยาบาลเบื้องต้นเมื่อข้อไหล่หลุด

หลายคนเมื่อเกิดเหตุการณ์ไหล่หลุดขึ้นกับตนเองหรือคนใกล้ชิด ส่วนใหญ่มักจะมีอาการตกใจทำอะไรไม่ถูก ไม่รู้ว่าควรปฐมพยาบาลเบื้องต้นอย่างไร ซึ่งบางครั้งการขยับไหล่หรือปฐมพยาบาลแบบผิดๆ สามารถทำให้ภาวะข้อไหล่หลุดแย่ลงได้ หากเกิดเหตุการณ์ไหล่หลุดแนะนำให้ปฏิบัติตามวิธีนี้ต่อไปนี้ 

  • หาตัวช่วยประคองแขน 

หลังจากที่เกิดภาวะไหล่หลุดแล้ว แนะนำให้ผู้ป่วยหาตัวช่วยมาประคองแขนสิ่งที่หาได้ง่ายที่สุด คือ มือและแขนอีกข้างของผู้ป่วย แนะนำให้นำมาประคองข้างที่ไหล่หลุดไว้ก่อน แล้วค่อยหาตัวช่วยเสริม เช่น ที่คล้องแขน ผ้า และหมอน เป็นต้น เพื่อป้องกันไม่ให้แขนเคลื่อนไหวมากจนเกินไป และควรรีบไปพบแพทย์และรักษาให้เร็วที่สุด เพราะภาวะข้อไหล่หลุดเป็นภาวะที่จำเป็นต้องรักษาทันที 

  • ประคบเย็น

ผู้ป่วยไหล่หลุดสามารถใช้วิธีประคบเย็นเพื่อบรรเทาอาการปวดก่อนที่จะไปพบแพทย์ เพื่อเข้ารับการรักษาได้ ซึ่งการประคบเย็นเป็นเพียงการปฐมพยาบาลเบื้องต้นที่สามารถช่วยบรรเทาอาการปวดเท่านั้น แต่อาการปวดจะหายเมื่อแพทย์จัดตำแหน่งกระดูกให้กลับเข้าสู่ตำแหน่งเดิม 

  • ห้ามพยายามขยับหรือดัดหัวไหล่กลับตำแหน่งเดิม

สำหรับผู้ป่วยที่มีภาวะไหล่หลุดทางที่ดีที่สุด คือ รีบไปพบแพทย์เพื่อให้แพทย์จัดกระดูกกลับตำแหน่งเดิม และรักษาเพื่อบรรเทาความเสียหายต่างๆ การที่ผู้ป่วยพยายามขยับหัวไหล่หรือพยายามดึงไหล่ หลังจากเกิดภาวะไหล่หลุด ให้ไหล่กลับไปสู่ตำแหน่งเดิมจะยิ่งทำให้เกิดความเสียหายต่อกระดูก เส้นเอ็น และกล้ามเนื้อ บริเวณรอบๆ หัวไหล่ ซึ่งอาจจะทำให้กระดูกแตกหัก หรือเส้นเอ็นต่างๆ ฉีกขาด และส่งผลให้อาการแย่ลงกว่าเดิมได้ 


แนวทางการรักษาภาวะข้อไหล่หลุด

วิธีรักษาอาการไหล่หลุด

เนื่องจากภาวะข้อไหล่หลุดมีระดับความรุนแรงหลายระดับ ทำให้การรักษามีหลายแบบ ตั้งแต่วิธีรักษาไหล่หลุดแบบไม่จำเป็นผ่าตัด ไปจนถึงการผ่าตัดเพื่อรักษาอาการไหล่หลุด ทั้งนี้การรักษาหลายรูปแบบเพื่อให้เหมาะสมกับความรุนแรงของอาการ 

1. การรักษาข้อไหล่หลุดแบบไม่ผ่าตัด

สำหรับผู้ป่วยที่มีอาการไหล่หลุดครั้งแรก ส่วนใหญ่มักจะรักษาไหล่หลุดแบบไม่ผ่าตัด โดยแพทย์จะจ่ายยาช่วยระงับอาการปวด และใส่ที่คล้องแขนเพื่อจัดตำแหน่งกระดูกกลับตำแหน่งเดิมประมาณ 2 – 4 สัปดาห์ และเมื่อครบกำหนดแล้ว แพทย์จะนัดเพื่อตรวจดูอาการไหล่อีกครั้ง เมื่อไหล่กลับเข้าสู่ภาวะปกติและตำแหน่งเดิมแล้วจึงจะนำที่คล้องแขนออก หลังจากที่นำที่คล้องแขนแล้ว ผู้ป่วยจำเป็นต้องทำกายภาพบำบัดตามที่แพทย์แนะนำ เพื่อฟื้นฟูกล้ามเนื้อและเส้นเอ็นบริเวณรอบๆ หัวไหล่และแขน ให้กลับมาเคลื่อนไหวได้อย่างปกติ 

2. การผ่าตัดข้อไหล่หลุด

วิธีการรักษาไหล่หลุดโดยการผ่าตัด เหมาะกับผู้ป่วยที่เคยมีประวัติไหล่หลุด และเกิดอาการไหล่หลุดซ้ำๆ อยู่บ่อยครั้ง เนื่องจากผู้ป่วยที่เคยมีประวัติไหล่หลุด เนื้อเยื่ออ่อนในข้อไหล่ฉีก และไม่สามารถซ่อมแซมตัวเองให้กลับมาเหมือนเดิมได้ ทำให้เกิดภาวะเบ้ากระดูกไหล่สึก ข้อหลวม และเกิดอาการไหล่หลุดซ้ำๆ นั่นเอง 

ก่อนการผ่าตัดเพื่อรักษาอาการไหล่หลุด แพทย์จะใช้วิธีตรวจ MRI เพื่อตรวจดูว่าข้อไหล่ได้รับความเสียหายบริเวณใดบ้าง เพื่อประเมินอาการและความรุนแรงของผู้ป่วย โดยวิธีผ่าตัดรักษาไหล่หลุดมีทั้งหมด 2 แบบ ได้แก่ 

 

  • การผ่าตัดแบบเปิด

การผ่าตัดแบบเปิด หรือที่เรียกว่า การผ่าตัดเสริมภาวะเบ้ากระดูกไหล่เสื่อม (Glenoid Reconstruction) เหมาะสำหรับผู้ที่มีภาวะข้อไหล่หลุดซ้ำๆ เป็นการผ่าตัดเพื่อเสริมกระดูกเบ้าหัวไหล่ด้วยการตัดกระดูกจากกระดูกกลุ่มโคราคอยด์ โพรเซส (Coracoid Process) มาเสริมที่บริเวณเบ้าหัวไหล่ 

การผ่าตัดแบบเปิดเหมาะกับผู้ป่วยที่ภาวะเบ้ากระดูกไหล่สึกเกิน 15 – 25 % โดยแพทย์จะส่งตัวไปตรวจ MRI เพื่อประเมินกระดูก เนื้อเยื่อ และกล้ามเนื้อ การผ่าตัดแบบเปิดจึงเป็นวิธีการรักษาสำหรับผู้ที่แพทย์พิจารณาว่าไม่สามารถตัดแบบส่องกล้องได้ หรือมีโอกาสผ่าตัดไม่สำเร็จสูง 

 

  • การผ่าตัดแบบส่องกล้อง

ผู้ป่วยภาวะไหล่หลุดส่วนใหญ่ที่ไม่ได้รับความเสียหายที่กระดูกข้อไหล่ หรือสึกหรอน้อย มักจะรักษาด้วยการผ่าตัดส่องกล้อง ซึ่งการผ่าตัดส่องกล้องเป็นการเย็บซ่อมแซมเยื่อหุ้มข้อไหล่ที่เกิดการฉีดขาด หรือการยืดให้กลับมาใกล้เคียงปกติ โดยใส่กล้องและอุปกรณ์เข้าไปเย็บซ่อมแซมเยื่อหุ้มข้อไหล่ให้ตึงมากขึ้น 

ทั้งนี้การผ่าตัดแบบส่องกล้องเพื่อรักษาอาการไหล่หลุด เป็นวิธีที่เสียเลือดน้อย ผู้ป่วยสามารถฟื้นตัวได้ไว และไม่จำเป็นต้องนอนพักฟื้นที่โรงพยาบาลเป็นเวลา ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายลงได้ นอกจากนี้การผ่าตัดส่องกล้องยังช่วยลดโอกาสการบาดเจ็บต่อเนื้อเยื่อในบริเวณรอบๆ 


ระยะฟื้นตัวจากภาวะข้อไหล่หลุด

กายภาพบำบัดสำหรับผู้ป่วยไหล่หลุด

โดยปกติแล้วผู้ป่วยสามารถกลับบ้านได้ทันทีหลังจากที่ไหล่กลับสู่ตำแหน่งเดิม แต่ต้องหลีกเลี่ยงการใช้แขนข้างที่ไหล่หลุดประมาณ 2 – 3 วัน 

1. ระยะฟื้นตัวของผู้ป่วยข้อไหล่หลุด

ระยะฟื้นตัวของผู้ป่วยข้อไหล่หลุด สามารถแบ่งออกเป็น 2 แบบ ได้ดังนี้ 

 

  • ผู้ป่วยข้อไหล่หลุดที่รักษาโดยไม่ต้องผ่าตัด

สำหรับการพักฟื้นในระยะนี้ผู้ป่วยจะใช้ที่คล้องแขนเพื่อลดการเคลื่อนไหวของแขนประมาณ 2 – 4 สัปดาห์ เมื่อครบตามกำหนดที่แพทย์สั่ง และตรวจเช็คร่างกายกับแพทย์อีกครั้งแล้วจึงจะสามารถกลับมาใช้แขน และเริ่มทำกายภาพเพื่อให้กล้ามเนื้อแขนกลับมาใช้งานได้ปกติ 

  • ผู้ป่วยข้อไหล่หลุดที่รักษาด้วยวิธีผ่าตัด

สำหรับผู้ป่วยภาวะข้อไหล่หลุดที่รักษาด้วยวิธีผ่าตัดจำเป็นต้องใช้ที่คล้องแขนเพื่อลดการเคลื่อนไหวประมาณ 4 – 6 สัปดาห์ และหลังจากถอดที่คล้องแขนแล้วจำเป็นต้องทำกายภาพบำบัด เพื่อให้แขนจะสามารถกลับมาใช้งานได้ใกล้เคียงปกติ โดยจะใช้เวลาประมาณ 2 – 3 เดือน ทั้งนี้ระยะพักฟื้นตัวของแต่ละคนไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับสมรรถภาพทางร่างกายและความแข็งแรงของแต่ละคน

2. การใช้ยาบรรเทาอาการปวด

ผู้ป่วยไหล่หลุดอาจจะมีอาการปวดบริเวณหัวไหล่รุนแรง 2 – 3 วันแรกหลังจากที่กลับมารักษาตัวต่อที่บ้าน แนะนำให้ทานยาแก้ปวดหรือยาคลายกล้ามเนื้อ เพื่อบรรเทาอาการปวด เช่น พาราเซตามอล นาพรอกเซน อะเซตามิโนเฟน หรือ ไอบูโพรเฟน โดยผู้ป่วยสามารถอ่านวิธี ปริมาณ และข้อควรปฏิบัติได้ที่ฉลากข้างกล่องยา และสำหรับผู้ป่วยไหล่หลุดที่มีอาการปวดรุนแรงยาแก้ปวดไม่สามารถบรรเทาอาการได้ แพทย์อาจจะสั่งยาแก้ปวดที่ออกฤทธิ์รุนแรงมากกว่า เช่น โคเดอีน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับอาการความรุนแรง และดุลยพินิจของแพทย์ 

3. การออกกำลังกายสำหรับผู้ป่วยข้อไหล่หลุด

หลังจากที่ผู้ป่วยไหล่หลุดถอดที่คล้องแขนออกแล้ว แพทย์อาจจะแนะนำให้ทำกายภาพบำบัดและออกกำลังกายแขนและไหล่เบาๆ เพื่อช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อให้กลับมาแข็งแรง โดยการออกกำลังกายสำหรับผู้ป่วยไหล่หลุดสามารถช่วยบรรเทาอาการต่อไปนี้  

  • ลดภาวะข้อไหล่ติด 
  • ลดความฝืดของกล้ามเนื้อและเส้นเอ็น 
  • บรรเทาความเจ็บปวด
  • เสริมสร้างกล้ามเนื้อให้กลับมาแข็งแรง

ทั้งนี้ผู้ป่วยไหล่หลุดที่มีอาการเจ็บปวดหลังจากที่เริ่มออกกำลังกายควรหยุด และปรึกษาแพทย์ทันทีเพื่อความปลอดภัย 


ภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดเมื่อข้อไหล่หลุด

ภาวะแทรกซ้อนจากข้อไหล่หลุด

ผู้ป่วยที่เคยมีประวัติไหล่หลุด หรือเกิดอาการไหล่หลุดบ่อยๆ เมื่อมีอาการปวดข้อความรุนแรงควรรีบไปพบแพทย์ทันที เพราะอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนที่เกิดจากข้อไหล่หลุดได้ 

1. กล้ามเนื้อหรือเส้นเอ็นฉีกขาด

เนื่องจากบริเวณหัวไหล่มีกล้ามเนื้อ และเส้นเอ็นจำนวนมาก เมื่อเกิดภาวะข้อไหล่หลุดอาจจะทำให้กล้ามเนื้อและเส้นเอ็นบริเวณรอบๆได้รับความเสียหาย หรือได้รับบาดเจ็บ ซึ่งส่งผลให้เกิดอาการปวดอย่างรุนแรงเนื่องจากกล้ามเนื้อได้รับบาดเจ็บ หรือเส้นเอ็นฉีกขาด  

2. เส้นประสาทได้รับความเสียหาย

บริเวณหัวไหล่มีเส้นประสาทจำนวนมาก เมื่อเกิดอาการไหล่หลุดอาจจะส่งผลต่อเส้นประสาทบริเวณรอบๆ หัวไหล่ ทำให้ได้รับความเสียหาย และเมื่อเส้นประสาทได้รับความเสียหายสามารถส่งผลให้เกิดอาการแขนอ่อนแรง หรือรู้สึกชาบริเวณแขนและหัวไหล่ได้ 

3. ภาวะไหล่คลอน

ภาวะไหล่คลอนเป็นภาวะที่เกิดกับผู้ป่วยที่มีประวัติไหล่หลุดรุนแรงมาก่อน หรือไหล่หลุดบ่อยๆ หลายครั้ง โดยมักจะมีอาการเหมือนกับกระดูกหัวไหล่ต่อไม่สนิทกับเบ้าหัวไหล่ ทำให้รู้สึกสะดุดเวลาขยับแขนหรือขยับร่างกาย 


การป้องกันไม่ให้เกิดภาวะข้อไหล่หลุด

 วิธีป้องกันภาวะข้อไหล่หลุด

เพราะอาการไหล่หลุดมักเกิดจากกระแทกจากอุบัติเหตุ หรือการเล่นกีฬาบางประเภท รวมไปถึงการหกล้มในผู้สูงอายุ การป้องกันไหล่หลุดได้ดีที่สุดคือการระมัดระวังในการใช้ชีวิต นอกจากนี้ยังสามารถปฏิบัติตามวิธีต่อไปนี้เพื่อหลีกเลี่ยงภาวะข้อไหล่หลุด  

  • ใช้ราวจับในขณะขึ้นลงบันได
  • ใช้แผ่นกันลื่นในห้องน้ำ หรือบริเวณที่มักเปียก 
  • สวมอุปกรณ์ป้องกันในขณะที่เล่นกีฬาที่จำเป็นต้องกระแทก หรือชนในระหว่างเล่น 
  • พยายามปลูกฝังพฤติกรรมให้เด็กๆ ระมัดระวังในขณะที่เล่น 
  • ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอเพื่อเสริมสร้างความแข็งแรงและความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อ 

คำถามที่พบบ่อย

หากข้อไหล่หลุด ดึงกลับเข้าที่ด้วยตัวเองได้ไหม

สำหรับผู้ที่มีภาวะข้อไหล่หลุดบ่อยๆ ถึงแม้ว่าจะสามารถดึงหัวไหล่กลับเข้าที่ได้ด้วยตัวเอง แต่ทางการแพทย์ไม่แนะนำให้ทำ เนื่องจากเป็นวิธีแก้ไหล่หลุดอาจจะสร้างความเสียหายให้กับกระดูก กล้ามเนื้อ และเส้นเอ็น บริเวณหัวไหล่และรอบๆ ได้ ซึ่งอาจจะทำให้กระดูกแตกหัก หรือเส้นเอ็นฉีกขาดทำให้อาการไหล่หลุดรุนแรงมากกว่าเดิม และทำให้การรักษายากขึ้นไปอีกขั้น ทางที่ดีที่สุดเมื่อเกิดอาการไหล่หลุดแนะนำให้ปฐมพยาบาลเบื้องต้นโดยการหาตัวช่วยประคองแขนไม่ให้เคลื่อนไหวและรีบไปพบแพทย์ให้เร็วที่สุด 

ไหล่หลุด จำเป็นต้องผ่าตัดหรือไม่

การผ่าตัดเพื่อรักษาอาการไหล่หลุดเป็นการรักษาสำหรับผู้ป่วยที่มีอาการไหล่หลุดซ้ำๆ ถี่ๆ เนื่องจากเนื้อเยื่ออ่อนบริเวณรอบๆ อ่อนแรง หรือเข้าข่ายภาวะข้อหลวมทำให้เกิดอาการไหล่หลุดบ่อยๆ แต่สำหรับผู้ป่วยที่มีอาการไหล่หลุดครั้งแรก ส่วนใหญ่มักจะไม่จำเป็นต้องผ่าตัด โดยวิธีที่ใช้รักษาผู้ป่วยไหล่หลุดครั้งแรกจะเป็นการจัดกระดูกให้เข้าที่ (Manipulation) และใช้ที่คล้องแขน เพื่อลดการเคลื่อนไหวของแขน เพื่อให้กล้ามเนื้อ เส้นเอ็น และกระดูกให้พักฟื้น และซ่อมแซมส่วนที่เสียหาย 


ข้อสรุป

ไหล่หลุด คือ ภาวะที่สามารถเกิดขึ้นได้กบทุกเพศ ทุกวัย โดยในวัยเด็ก วัยรุ่น และผู้สูงอายุมักเกิดอาการไหล่หลุดที่มีสาเหตุมาจากการได้รับแรงกระแทกอย่างรุนแรงจากอุบัติเหตุ และการเล่นกีฬาบางประเภท ซึ่งภาวะข้อไหล่หลุดเป็นอาการที่ต้องรีบรักษาโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญในทันที 

ที่สำคัญผู้ป่วยที่มีอาการไหล่หลุดไม่ควรพยายามดึงไหล่ให้กลับสู่ตำแหน่งเดิมด้วยตนเอง เพราะจะยิ่งทำให้กล้ามเนื้อ กระดูก และเส้นเอ็นบริเวณหัวไหล่และรอบๆ ได้รับความเสียหายมากกว่าเดิม หากผู้ป่วยมีอาการไหล่หลุดครั้งแรกมักจะเป็นการรักษาโดยการจัดกระดูกและใช้ที่คล้องแขนประคองแขน แต่ถ้าผู้ป่วยมีอาการไหล่หลุดซ้ำๆ อาจจะต้องรักษาด้วยวิธีผ่าตัด ทั้งนี้วิธีรักษาขึ้นอยู่กับความรุนแรงของโรคและดุลยพินิจของแพทย์

Cr. https://www.samitivejchinatown.com/th/health-article/dislocated-shoulder