Categories
บทความ

ภาวะลำไส้รั่ว จุดเริ่มต้นของปัญหาสุขภาพที่คาดไม่ถึง

ภาวะลำไส้รั่ว จุดเริ่มต้นของปัญหาสุขภาพที่คาดไม่ถึง

ปัญหาสุขภาพที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ทั้งน้ำหนักขึ้นง่าย สิวไม่หาย ลำไส้แปรปรวน มีอาการอักเสบของผิวหนัง และอาการอื่นๆ ที่หลายคนกำลังเผชิญอยู่นั้น อาจมีสาเหตุมาจากภาวะลำไส้รั่ว (Leaky Gut Syndrome) ซึ่งเป็นภาวการณ์ดูดซึมของลำไส้ผิดปกติ โดยหนึ่งในสาเหตุอาจมาจากพฤติกรรมการรับประทานอาหารเดิม ๆ ซ้ำ ๆ จนส่งผลต่อความสมดุลภายในร่างกาย รวมถึงระบบภูมิคุ้มกัน ระบบเผาผลาญ และเป็นสาเหตุก่อโรคเรื้อรังอันตรายตามมาได้ เพื่อให้รู้เท่าทัน เราไปทำความรู้จักกับโรคนี้กันกับแพทย์เวชศาสตร์ชะลอวัยกันดีกว่า

ภาวะลำไส้รั่วเป็นอย่างไร

ภาวะลำไส้รั่ว (Leaky Gut Syndrome) เป็นภาวะการดูดซึมของลำไส้ผิดปกติ โดยทั่วไปแล้วเซลล์เยื่อบุผนังลำไส้ หรือ เซลล์ดูดซึมสารอาหารของลำไส้เล็กจะเรียงชิดติดกัน เพื่อป้องกัน คัดกรอง และควบคุมสารพิษ รวมทั้งเชื้อโรคที่จะเข้าสู่กระแสเลือด หากเซลล์เยื่อบุผนังลำไส้อักเสบ หรือมีการบวมของเซลล์เยื่อบุผิวลำไส้จึงไม่เรียงชิดติดกัน ทำให้เกิดช่องว่างที่บริเวณนี้ขึ้นมา ซึ่งตรงช่องว่างนี้เองทำให้สิ่งแปลกปลอม เชื้อแบคทีเรีย สารอาหารที่เป็นโมเลกุลขนาดใหญ่ สารพิษต่างๆ รั่วซึมเข้าสู่ร่างกาย สู่กระแสเลือด เข้าไปรบกวนระบบภูมิต้านทาน ทำให้เกิดกระบวนการการอักเสบต่างๆ ภายในร่างกายตามมา

ลำไส้รั่วตัวการเกิดโรคอะไรบ้าง

ลำไส้รั่วส่งผลให้เกิดภาวะการอับเสบในร่างกายแบบเรื้อรัง เพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคเบาหวาน เพิ่มความเสี่ยงให้เกิดโรคเส้นเลือดหัวใจตีบ เส้นเลือดในสมองตีบ ความดันโลหิตสูง อันเนื่องมาจากกระบวนการอักเสบที่เพิ่มขึ้น แม้กระทั่งการไปรบกวนหรือกระตุ้นการตอบสนองของเม็ดเลือดขาว ทำให้เม็ดเลือดขาวสับสนเกิดภาวะภูมิแพ้ง่ายขึ้น ยังมีผลต่อการอักเสบในเซลล์สมอง มีผลต่อการนอนหลับ อารมณ์ ความจำระยะสั้น เป็นต้น

ลำไส้รั่วเกิดจากสาเหตุอะไร

สาเหตุลำไส้รั่ว (Leaky Gut Syndrome) มาจากภาวะอะไรก็ตามที่ทำให้เกิดการทำลายเซลล์บุผนังลำไส้ โดยสาเหตุที่พบบ่อย ได้แก่

  1. ยาแก้ปวดหรือแก้อักเสบต่างๆ ยากลุ่มนี้จะมีผลต่อความแข็งแรงของเยื่อบุในผนังทางเดินอาหาร และเป็นเหตุผลที่ทำให้เกิดภาวะลำไส้รั่วได้หากใช้ยากลุ่มนี้ติดต่อกันนาน
  2. ยาปฏิชีวนะหรือยาฆ่าเชื้อ โดยในลำไส้จะแข็งแรงได้นอกจากผนังของลำไส้แล้ว ยังมีเรื่องสายพันธุ์ของแบคทีเรียหรือสมดุลของแบคทีเรียในร่างกายอยู่ด้วย เมื่อเรากินยายาปฏิชีวนะหรือยาฆ่าเชื้อไปบ่อยๆ หรือกินมากๆ แล้วไม่ได้เติมเต็มแบคทีเรียตัวดีเข้าไปทดแทน จะก่อให้เกิดการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ตัวร้าย หรือจุลินทรีย์ชนิดอื่น เช่น เชื้อรา หรือ แบคทีเรียตัวอื่นที่ร่างกายไม่ต้องการเพิ่มขึ้นจนทำให้เกิดกระบวนการอักเสบของเยื่อบุลำไส้ได้
  3. ความเครียด ความวิตกกังวล การนอนหลับไม่เพียงพอ
  4. ภาวะภูมิแพ้อาหารแฝง

ลำไส้รั่วอาการเป็นอย่างไร

 

  • ปวดศีรษะหรือปวดตามข้อต่าง ๆ ไม่ทราบสาเหตุ
  • น้ำหนักขึ้นง่าย ขึ้นผิดปกติ
  • มีแก๊สในระบบทางเดินอาหารมากผิดปกติ
  • มีภาวะภูมิแพ้อาหารแฝง ภาวะการไม่สามารถย่อยอาหารบางชนิดได้ เช่น อาหารประเภทคาร์โบไฮเดรต
  • มีปัญหาระบบทางเดินอาหาร เช่น ปวดท้องบ่อยๆ ท้องเสียเรื้อรัง หรือท้องผูก 1 ครั้งต่อสัปดาห์ขึ้นไป ท้องอืดอาหารไม่ย่อยเป็นประจำ
  • นอนไม่ค่อยหลับ อ่อนเพลีย
  • มีผื่นคัน มีสิวขึ้นเรื้อรัง

ภาวะลำไส้รั่ว ตรวจวินิจฉัยอย่างไร

แพทย์จะพิจารณาจากอาการที่เกิดขึ้น ได้แก่

  1. หากมีปัญหาระบบทางเดินอาหารมาก่อน เช่น โรคกระเพาะ ท้องอืด ท้องเฟ้อ อาหารไม่ย่อย ท้องเสียง่าย ท้องผูกง่าย เป็นกลุ่มที่จะมีความเสี่ยงเกิดลำไส้รั่วง่ายมากขึ้น
  2. มีอาการอันไม่พึงประสงค์หลังรับประทานอาหาร เช่น การกินนม แป้งสาลี ภายใน 1-2 วันมีสิวขึ้น มีผื่นคัน มีอาการปวดตามข้อมากขึ้น หรือตกกลางคืนนอนไม่หลับ กระสับกระส่าย หรือไม่

 

ซึ่งหากมีอาการดังกล่าวก็สงสัยว่าอาจเป็นภาวะลำไส้รั่วได้ ก็จำเป็นต้องมีการตรวจทางห้องปฏิบัติการ เช่น

  • การตรวจอุจจาระประเมินความผิดปกติของระบบทางเดินอาหาร หรือ Comprehensive Digestive Stool Analysis (CDSA) ซึ่งเป็นการวิเคราะห์คุณภาพการย่อยจากอุจจาระของเราว่าอาหารมีการย่อยสมบูรณ์ไหม สายพันธุ์ของเแบคทีเรียอยู่สมดุลดีไหม มีการเจริญเติมโดของแบคทีเรียร้าย ยีสต์ เชื้อรา หรือมีพยาธิหรือเปล่า
  • การตรวจ Zonulin Test เป็นการตรวจดูระดับของโปรตีน Zonulin ที่ทำหน้าที่ควบคุมขนาดของช่องระหว่างเซลล์ที่บุผิวภายในลำไส้ดังกล่าวว่าสูงหรือไม่ เช่น เมื่อมีการแพ้สารอาหาร หรือเกิดภูมิแพ้ขึ้นมา จะทำให้ระดับของ Zonulin ในกระแสเลือดของสูงขึ้นซึ่งก็จะบอกได้ว่า ท่านเป็นลำไส้รั่วจริง

การรักษาภาวะลำไส้รั่ว

 

  1. ทำความสะอาดของเสียออกจากลำไส้ เช่น หลีกเลี่ยงอาหารที่แพ้ การทำ Colon Detox
  2. การซ่อมแซมเยื่อบุลำไส้ที่ไม่แข็งแรง โดยเสริมกรดอะมิโน L-Glutamine รวมไปถึงวิตามินอี สังกะสี (Zinc) ซีลีเนียม (Selenium) และโอเมก้า–3 (Omega–3) ที่มีส่วนช่วยในการซ่อมแซมเยื่อบุผนังลำไส้ที่ได้รับบาดเจ็บและลดการอักเสบของลำไส้ได้
  3. การปรับสมดุลร่างกาย โดยปรับเรื่องอาหาร เลี่ยงอาหารที่แพ้ ลดความเครียด
  4. การเติมเต็มแบคทีเรียดีเข้าไป ได้แก่ จุลินทรีย์ดี Probiotic ซึ่งพบในโยเกิร์ต คีเฟอร์ ถั่วหมัก กิมจิ และอาหาร Probiotic เช่น กล้วย น้ำผึ้ง หน่อไม้ฝรั่ง กระเทียม แก่นตะวัน หอมหัวใหญ่ และมะเขือเทศ เป็นต้น

หากเราไม่ดูแลเอาใจใส่ลำไส้ให้ดี อาจส่งผลให้สุขภาพร่างกายไม่ดีตามไปด้วย ฉะนั้น การดูแลลำไส้ให้แข็งแรง โรคเรื้อรังต่างๆ ที่เผชิญอยู่ ก็จะสามารถควบคุมได้หรือค่อยๆ หายไปได้นั่นเอง

Categories
บทความ

ไมโคพลาสมา โรคติดเชื้อแบคทีเรียในเด็ก ทำปอดอักเสบติดเชื้อ

ไมโคพลาสมา โรคติดเชื้อแบคทีเรียในเด็ก ทำปอดอักเสบติดเชื้อ

โรคติดเชื้อ Mycoplasma pneumonia ก่อให้เกิดโรคทางระบบทางเดินหายใจทั้งส่วนบน และส่วนล่าง สามารถพบได้ทุกวัย เมื่อติดเชื้อจะก่อให้เกิดอาการคล้ายหวัด และจะมีอาการไอรุนแรง ทำให้เกิดหลอดลมอักเสบ ปอดอักเสบ หรือปอดบวม บางรายอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ สมองอักเสบ ข้ออักเสบ อาการทางผิวหนัง และเยื่อบุอักเสบได้

ทำความรู้จัก ไมโคพลาสมา

Mycoplasma pneumonia เป็นเชื้อแบคทีเรียชนิดหนึ่งที่อยู่ตามธรรมชาติ มีขนาดเล็กมาก พบได้ทั่วโลก แพร่ระบาดได้ตลอดทั้งปี มักทำให้เกิดโรคติดเชื้อทางเดินหายใจ ติดต่อโดยหายใจสูดเอาละอองฝอยที่มีเชื้อผ่านการไอ จาม เป็นโรคติดต่อจากคนสู่คน ระยะฟักของเชื้อประมาณ 2-3 สัปดาห์ อาการมักหายได้เองเป็นส่วนใหญ่ แต่ก็มีรายที่สามารถก่อโรครุนแรงต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล นอกจากนี้ยังทำให้เกิดอาการในระบบที่นอกเหนือจากระบบทางเดินหายใจ เช่น ระบบประสาท ระบบเลือด ผิวหนัง ไต ข้อ ระบบหัวใจและหลอดเลือด เป็นต้น

อาการโรคติดเชื้อไมโคพลาสมา

เมื่อได้รับเชื้อจะทำให้เกิดอาการทางระบบทางเดินหายใจทั้งส่วนบน และส่วนล่าง ได้แก่

  1. ไอมาก จาม มีน้ำมูก
  2. มีไข้สูง 38 องศา ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามร่างกาย
  3. เจ็บคอ คออักเสบ
  4. เจ็บหน้าอกเวลาหายใจ หายใจเร็ว หายใจมีหน้าอกบุ๋ม
  5. ปวดเมื่อยตามร่างกาย มีอาการอ่อนเพลีย
  6. ภาวะหลอดลมอักเสบ ปอดอักเสบติดเชื้อ
  7. บางรายอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรง เช่น ซีดรุนแรง ภาวะกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ ภาวะสมองอักเสบ ทำให้เกิดไข้สูง ชัก หรือหมดสติ ได้

การวินิจฉัยโรคติดเชื้อไมโคพลาสมา

แพทย์จะวินิจฉัยจากการซักประวัติอาการ ตรวจร่างกาย การตรวจทางห้องปฏิบัติการ ปัจจุบันนิยมตรวจทางภูมิคุ้มกันวินทยา โดยวิธี FIA หรือ IFA จากเลือด ซึ่งสะดวกและรวดเร็ว ส่วนการตรวจหาสารพันธุกรรมของเชื้อโดยวิธี PCR จะมีความไวสูงและจำเพราะสูง จากสิ่งส่งตรวจจากจมูกหรือคอยังมีข้อจำกัดในการตรวจใช้ในสถานพยาบาล รวมไปถึงการตรวจเอกซเรย์ปอด ตรวจเลือดเพื่อประเมินความรุนแรง

การรักษาโรคติดเชื้อไมโคพลาสมา

แพทย์จะรักษาด้วยการให้ยารับประทานตามอาการเพื่อประคับประคองอาการที่เกิดขึ้น รวมทั้งยาปฏิชีวนะที่สามารถครอบคลุมเชื้อ ได้แก่ ยากลุ่ม macrolides เช่น azithromycin, erythromycin, clarithromycin หรือกลุ่ม Doxycycline หรือ Levofloxacin ซึ่งผู้ป่วยส่วนใหญ่จะหายเป็นปกติ และรักษาภาวะแทรกซ้อนของโรค

โรคติดเชื้อไมโคพลาสมายังไม่มีวัคซีนป้องกัน การป้องกันที่ดีที่สุดคือ การหลีกเลี่ยงสถานที่แอดอัด คนจำนวนมาก สถานที่ที่มีการระบายอากาศไม่ดี หลีกเลี่ยงการใกล้ชิดผู้ป่วย ใส่หน้ากากอนามัย ควรล้างมือให้บ่อยๆ โดยเฉพาะก่อนการปรุงอาหาร หรือรับประทานอาหาร ทั้งนี้หากลูกน้อยมีอาการไม่สบาย หรือมีอาการดังกล่าวข้างต้น เช่น มีไข้เกิน 38 องศา ไอมาก หายใจเร็ว หายใจมีหน้าอกบุ๋ม ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยและรักษาอย่างถูกต้อง

Categories
บทความ

ปวดหัวตำแหน่งใด บ่งบอกว่าคุณกำลังเป็นอะไรอยู่

ปวดหัวตำแหน่งใด บ่งบอกว่าคุณกำลังเป็นอะไรอยู่

เรื่องของอาการปวดหัว หรือ ปวดศีรษะ เชื่อว่าทุกคนจะต้องผ่านมาอย่างน้อย 1 ครั้ง และสร้างความหงุดหงิดใจอยู่ไม่น้อย ซึ่งหลายคนเมื่อมีอาการปวดหัวก็อาจมองข้ามอาการปวดหัวที่เกิดขึ้น เพียงเพราะคิดว่าอาจเกิดจากความเครียด พักผ่อนน้อย แต่อาการปวดที่เกิดขึ้นนั้นกำลังเตือนเราอยู่ก็เป็นได้ว่ามีความผิดปกติซ่อนอยู่ อาการปวดหัวเกิดได้จากหลายสาเหตุ ซึ่งการปวดในตำแหน่งต่างๆ จะบ่งบอกสาเหตุของโรคที่ต่างกันออกไป แล้วอาการปวดหัวตำแหน่งไหน บ่งบอกถึงโรคอะไรบ้างมาดูกัน

อาการปวดหัวสามารถแบ่งออกได้ 2 กลุ่ม ได้แก่

  • อาการปวดหัวในกลุ่มที่ไม่ได้มีรอยโรคในสมอง เช่น ไมเกรน กล้ามเนื้อรอบ ๆ ศีรษะตึงตัวหรือจากความเครียด กลุ่มนี้เป็นกลุ่มสาเหตุที่พบบ่อยที่สุดของอาการปวดหัว แม้ว่าจะรบกวนชีวิตประจำวัน แต่ไม่มีอันตรายร้ายแรง
  • อาการปวดหัวในกลุ่มที่มีรอยโรคในสมอง เช่น เนื้องอกในสมอง เส้นเลือดสมองโป่งพอง เลือดออกใต้เยื่อหุ้มสมอง ต้องรีบพบแพทย์ทันที ซึ่งอาการปวดหัวของกลุ่มนี้ถือว่าอันตราย หากไม่ได้รับการวินิจฉัยและการรักษาให้ทันเวลา

ปวดหัว บ่งบอกอะไร

  • ปวดทั่วศีรษะ ปวดหัวแบบตึ้บ ๆ คือ อาการปวดหัวจากกล้ามเนื้อตึงตัว จากความเครียด มีอาการลงที่ท้ายทอย อาจร้าวไปขมับสองข้าง มักปวดเหมือนอะไรมาบีบมารัด อาจมีอาการปวดร้าวมาสะบักไหล่ทั้ง 2 ข้าง อาการค่อยๆ เป็น อาการปวดอาจเป็นชั่วโมง วัน สัปดาห์ เดือน หรือปีก็ได้ ขึ้นอยู่กับความเครียดและการพักผ่อน
  • ปวดหัวข้างเดียวคืออาการปวดหัวไมเกรน มักปวดหัวตุบๆ ปวดข้างเดียวของศีรษะ(Unilateral) แต่บางครั้งปวด 2 ข้าง หรือทั้งศีรษะก็ได้ หรือมีอาการคลื่นไส้อาเจียน แพ้แสง เกิดจากความผิดปกติชั่วคราวของระดับสารเคมีในสมอง ทำให้หลอดเลือดในเยื่อหุ้มสมองมีการบีบและคลายตัวมากกว่าปกติ
  • ปวดหัวแบบคลัสเตอร์คือ อาการปวดหัวรุนแรงแบบข้างเดียว มักจะปวดบริเวณรอบๆ ตาหรือที่ขมับปวดร้าว ตาแดง มีน้ำตาไหลข้างเดียว กับที่ปวดศีรษะได้ โดยอาการปวดแต่ละครั้งจะมีระยะเวลาไม่นานประมาณ 5 นาที หรือนานสุดประมาณ 3 ชั่วโมง อาการปวดจะเกิดขึ้นบ่อยและเป็นช่วงเวลาที่แน่นอน
  • ปวดหัวจากไซนัสจะเหมือนอาการปวดหัวไมเกรน และอาการหวัดทั่วไปมากจนยากที่จะแยกออก แต่ไซนัสจะรู้สึกปวดหน่วงๆ บริเวณหน้าผาก โพรงจมูกลามไปถึงโหนกแก้ม
  • ปวดหัวจากการเส้นประสาทใบหน้าอักเสบสามารถปวดบริเวณหน้า ใบหู ลักาณะมักจะเป็นการปวดเสียวแปล๊บ เหมือนไฟช็อต อาการอาจถูกกระตุ้น เช่น มือสัมผัส ล้างหน้า เคี้ยวข้าว
  • ปวดหัวรุนแรงชนิดที่ไม่เคยเป็นมาก่อนอาจเกิดจากภาวะหลอดเลือดสมอง หรือเนื้องอกในสมอง ซึ่งจะมีอาการปวดอย่างรุนแรงและอาการอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น การมองเห็นผิดปกติ เห็นภาพซ้อน มองเห็นไม่ชัด มีอาการชา กล้ามเนื้อแขน ขา อ่อนแรง ทรงตัวลำบากหรือบางคนอาจมีอาการชัก ซึ่งถือเป็นอาการรุนแรง จำเป็นต้องพบแพทย์โดยด่วน

อย่างไรก็ตามแม้ส่วนใหญ่อาการปวดหัว ปวดศีรษะจะไม่เป็นอันตราย แต่การรักษาอย่างถูกต้องเป็นสิ่งสำคัญ และหมั่นสังเกตความผิดปกติหรือสัญญาณอันตรายที่เกิดขึ้น จะช่วยให้เราได้รับการวินิจฉัยและรักษาได้ทันท่วงที

Categories
บทความ

หลอดลมอักเสบ พบได้ทุกช่วงอายุ

หลอดลมอักเสบ พบได้ทุกช่วงอายุ

ด้วยปัจจุบันปัญหามลภาวะเป็นพิษ PM 2.5 ควันรถ ควันบุหรี่ ล้วนเป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้เกิดภาวะหลอดลมอักเสบ (Bronchitis) ที่ตามด้วยอาการไอนาน ไอแห้ง หายใจลำบาก หอบเหนื่อยได้ ภาวะหลอดลมอักเสบ มักพบได้บ่อยในช่วงฤดูฝน และฤดูหนาว สามารถพบผู้ติดเชื้อได้ทุกช่วงวัย หากได้รับการรักษาไม่ถูกต้อง สามารถเกิดภาวะแทรกซ้อน การติดเชื้อจากหลอดลมอาจลามไปที่ปอด ทำให้เกิดปอดอักเสบ (Pneumonia) และโรคถุงลมโป่งพองได้


หลอดลมอักเสบเป็นอย่างไร

หลอดลมอักเสบ (Bronchitis) การอักเสบของเยื่อบุหลอดลมซึ่งเป็นท่อที่นำลมหรืออากาศหายใจเข้าสู่ปอด เมื่อเยื่อบุหลอดลมอักเสบจะบวม มีเสมหะ ท่อหลอดลมจะแคบลง ส่งผลให้อากาศไหลผ่านหลอดลมเข้าปอดได้ไม่ดี ทำให้ไอ หายใจไม่อิ่ม เหนื่อยง่าย แน่นหน้าอก หายใจมีเสียงวี้ด อาจเจ็บคอ แสบคอ หรือ เจ็บหน้าอกได้ โดยภาพรังสีทรวงอกปกติ แบ่งเป็น

  • หลอดลมอักเสบฉับพลัน (Acute bronchitis) ส่วนใหญ่อาการหายได้ใน 7-10 วัน มักไม่เกิน 3 สัปดาห์
  • หลอดลมอักเสบชนิดเรื้อรัง (Chronic bronchitis) มักเกิดจากภูมิแพ้ หอบหืด ปัจจุบันสภาวะมลภาวะอากาศที่เปลี่ยนไป ฝุ่น หรือ PM 2.5 ควัน หรือ สารเคมีกลิ่นฉุน หรือภาวะหลังหายจากการติดเชื้อทางเดินหายใจ จะพบผู้ป่วยกลุ่มนี้มากขึ้น สำหรับผู้ที่สูบบุหรี่หรือเคยสูบอาจมีภาวะปอดอุดกั้นเรื้อรัง ผู้ป่วยมักไอมาก ไอนาน ไอเสมหะมาก เสมหะเหนียวติดคอ ไอออกลำบาก หลอดลมอักเสบชนิดเรื้อรัง ถ้าไม่ได้รับการรักษา ทำให้ผู้ป่วยเสี่ยงต่อการติดเชื้อแบคทีเรียได้ง่ายขึ้น เสมหะเปลี่ยนเป็นสีเหลือง หรือเขียว หรือหายใจหอบเหนื่อย มีข้อจำกัดในการใช้ชีวิตประจำวัน และการรักษาจะยากมากขึ้น

ทั้งนี้ ภาวะหลอดลมอักเสบ พบว่า 50% ไอนานกว่า 2 สัปดาห์ และ 25% ไอนานกว่า 4 สัปดาห์ ผู้ที่มีหลอดลมอักเสบ ร่วมกับอาการสงสัยว่าหลอดลมตีบ เช่น อาการหายใจไม่อิ่ม แน่นหน้าอก หายใจมีเสียงวี้ด เหนื่อยง่าย พบว่าสัมพันธ์กับการเป็น หอบหืด หรือ ถุงลมโป่งพอง มากขึ้น ควรได้รับการรักษา ติดตาม และตรวจประเมินเพิ่มเติม เช่น ตรวจสมรรภภาพปอด


สาเหตุของโรคหลอดลมอักเสบ

  • จากการติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนบน ส่วนมากเกิดจากเชื้อไวรัสกลุ่มเดียวกับที่ก่อให้เกิดไข้หวัดและไข้หวัดใหญ่ พบมากถึง 90% ที่ทำให้เกิดหลอดลมอักเสบ
  • จากการติดเชื้อแบคทีเรีย เช่น Bordateria pertussis, Mycoplasma pneumoniae, Chlamydia pneumoniae, Streptococcus pneumoniae, Haemophilus influenzae
  • จากการถูกสิ่งระคายเคือง ที่พบบ่อยคือ การสูบบุหรี่ ควันไอเสียรถยนต์ ฝุ่นละออง และสารเคมี
  • การระคายเคืองจากน้ำย่อยในผู้ที่เป็นโรคกรดไหลย้อน

อาการแบบไหนต้องพบแพทย์

  • มีอาการไอนานกว่า 8 สัปดาห์ในผู้ใหญ่
  • ไอมีเสมหะมาก เสมหะจุกคอ เสมหะอยู่ลึกๆ ไอไม่ออก
  • ไอมากตอนกลางคืน หรือเช้ามืด ไอช่วงเวลาอากาศเย็น หรือ เวลาฝนตก
  • ไอเสมหะเลือดปน
  • ไอ ร่วมกับ เหนื่อยง่ายขึ้นเวลาทำกิจกรรมที่ต้องใช้แรง
  • ไอ ร่วมกับ หายใจไม่อิ่ม หายใจเข้าออกไม่สุด หายใจได้ยินเสียงวี้ด รู้สึกขาดอากาศหายใจ
  • ไอ ร่วมกับเจ็บหน้าอกแปล๊บๆ เป็นๆหายๆ
  • ไอ ร่วมกับ มีไข้เป็นๆหายๆ น้ำหนักลด กินได้น้อยเบื่ออาหาร

การวินิจฉัยโรคหลอดลมอักเสบทำอย่างไร

แพทย์เป็นผู้วินิจฉัยหาสาเหตุของอาการไอเรื้อรังที่เกิดขึ้น ได้แก่

  1. ตรวจร่างกาย ร่วมกับการซักประวัติ เช่นมีอาการสัมพันธ์กับสารก่อภูมิแพ้ หรือเหตุกระตุ้นให้เกิดอาการไอ (เช่น ฝุ่น ควัน อากาศเย็น กลิ่นฉุน) อาการทางจมูกหรือโรคไซนัส ประวัติโรคภูมิแพ้ของผู้ป่วยและคนในครอบครัว การสูบบุหรี่ เป็นต้น
  2. การตรวจระบบทางเดินหายใจส่วนบนและล่าง และอาจส่งตรวจเพิ่มเติม เช่น ส่งตรวจภาพถ่ายรังสีของโพรงไซนัสและปอด การส่องกล้องตรวจระบบทางเดินหายใจ การตรวจเสมหะ การตรวจสมรรถภาพการทำงานของปอด เป็นต้น

การรักษาโรคหลอดลมอักเสบ

  • โรคหลอดลมอักเสบชนิดเฉียบพลัน ปกติมักจะหายได้เอง ภายใน 7-10 เนื่องจากส่วนใหญ่เกิดจากการติดเชื้อไวรัส จึงใช้วิธีการรักษาตามอาการ เช่น การใช้ยาละลายเสมหะ ยาแก้ไอ ยาขยายหลอดลม จนอาการหายดีเอง ส่วนการติดเชื้อแบคทีเรียอาจพิจารณาการใช้ยาฆ่าเชื้อ
  • โรคหลอดลมอักเสบชนิดเรื้อรัง ควรหาสาเหตุ และรักษาตามสาเหตุ อาจให้ยาลดการอักเสบของหลอดลม, ยาขยายหลอดลม

การป้องกันโรคหลอดลมอักเสบ

การปฏิบัติตัวอย่างถูกต้องจะช่วยป้องกันจากโรคหลอดลมอักเสบได้ อาทิ

  • พักผ่อนให้เพียงพอ
  • ดื่มน้ำอุ่นบ่อยๆ เพราะน้ำเป็นยาละลายเสมหะที่ดีที่สุด
  • หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่
  • หลีกเลี่ยงการสูดควัน กลิ่นฉุน ควันบุหรี่ สารเคมี ฝุ่น สารระคายเคืองต่างๆ ซึ่งจะทำให้การอักเสบในหลอดลมเป็นมากขึ้น
  • ควรพยายามหลีกเลี่ยงอากาศเย็น และแห้ง เนื่องจากอากาศที่เย็นสามารถทำให้ร่างกายอ่อนแอ
  • ควรให้ความอบอุ่นแก่ร่างกายขณะนอนให้เพียงพอ
  • ฉีดวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง

โรคหลอดลมอักเสบ หากให้การรักษาไม่ถูกต้อง การติดเชื้อจากหลอดลมอาจลามไปที่ปอด ทำให้เกิดปอดอักเสบได้ หรือจากหลอดลมอักเสบเฉียบพลัน อาจกลายเป็นหลอดลมอักเสบเรื้อรัง ดังนั้นหากมีความผิดปกติเกิดขึ้นกับระบบทางเดินหายใจ เช่น ไอแห้งหรือไอมีเสมหะ รับประทานยาแก้ไขแล้วไม่ดีขึ้น ให้เข้ามาพบแพทย์เพื่อรับการการตรวจและรักษาที่ตรงจุดต่อไป
Categories
บทความ

สาเหตุโรคไต ไม่ใช่แค่ “กินเค็ม”

สาเหตุโรคไต ไม่ใช่แค่ "กินเค็ม"

โรคไต คือ ภาวะที่ไตทำงานผิดปกติ สามารถเกิดขึ้นได้ทุกเพศ ทุกวัย โดยเฉพาะผู้สูงอายุ แม้ว่าหนึ่งในสาเหตุของการเกิดโรคไตนั้นมาจากการกินเค็ม แต่การไม่กินเค็ม ไม่เติมเกลือ หรือน้ำปลาในอาหาร ก็ไม่ได้หมายความว่าคุณจะไม่เสี่ยงเป็นโรคไต เนื่องจากโรคไตนั้นไม่ได้เกิดจากพฤติกรรมการกินอาหารที่มีรสเค็มเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังมีสาเหตุอื่นๆ ทั้งจากการใช้ชีวิตประจำวัน พันธุกรรม และโรคเรื้อรัง ก็ทำให้มีโอกาสป่วยเป็นโรคไตได้เช่นกัน


สาเหตุของโรคไต ไม่ใช่แค่ “กินเค็ม”

สาเหตุของการเป็นโรคไตไม่ใช่แค่กินเค็มเท่านั้น แต่ยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่มีส่วนสำคัญในการกระตุ้นให้ร่างกายคนเรามีโอกาสเสี่ยงที่จะเกิดโรคไต ได้เหมือนกัน โดยปัจจัยที่พบบ่อยได้แก่

  • การมีโรคที่มีผลกระทบกับไต เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคอ้วนหรือมีภาวะน้ำหนักเกิน โรคเก๊าท์หรือระดับกรดยูริกในเลือดสูง โรคแพ้ภูมิตนเอง การสูบบุหรี่เรื้อรัง ซึ่งจะส่งผลให้หลอดเลือดที่ไปเลี้ยงไตเสื่อมลง ส่งผลให้การทำงานของไตเสื่อมลง
  • การมีภาวะไตผิดปกติ ไม่สมบูรณ์ตั้งแต่กำเนิด เช่น ไตฝ่อ มีมวลเนื้อไตลดลง หรือมีไตข้างเดียว เป็นต้น
  • การมีภาวะหลอดเลือดฝอยในไตอักเสบ
  • การเป็นโรคติดเชื้อทางเดินระบบปัสสาวะส่วนบนช้ำหลายครั้ง
  • การตรวจพบนิ่วในไตหรือระบบทางเดินปัสสาวะ หรือตรวจพบถุงน้ำในไตมากกว่า 3 ตำแหน่งขึ้นไป
  • การมีประวัติครอบครัวเป็นโรคไตเรื้อรัง หรือ มีประวัติการเป็นโรคไตอักเสบ หรือถุงน้ำในไต
  • การได้รับยาในกลุ่มยาแก้ปวดกลุ่ม NSAIDs หรือสารพิษที่ทำลายไต (Nephrotoxic agents)
  • ดื่มน้ำน้อยเกินไป เกิดภาวะขาดน้ำของไตจนทำงานบกพร่อง หรือเกิดการสะสมของสารเคมีในทางเดินปัสสาวะ จนตกตะกอนกลายเป็นโรคนิ่วในไตหรือทางเดินปัสสาวะ
  • รับประทานอาหารที่มีโซเดียมสูงแต่ไม่เค็ม อาทิ ซอสมะเขือเทศ ซอสพริก น้ำจิ้มสุกี้ อาหารแปรรูปยอดนิยม เช่น แฮม เบคอน ขนมกรุบกรอบ ผลไม้กระป๋อง รวมถึงอาหารหมักดอง เช่น ผักกาดดอง หรือไข่เค็ม บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ผงฟู สารกันบูด หรือสารกันเชื้อราในขนมปัง เป็นต้น

เช็กสัญญาณเสี่ยงโรคไต ควรพบแพทย์

  • อาการบวม หน้าบวม ขาบวม
  • ปัสสาวะผิดปกติ เช่น ปัสสาวะมีฟอง ปัสสาวะเป็นเลือด ปัสสาวะกลางคืนบ่อยกว่าปกติ
  • ปวดเอว ปวดหลังมากผิดปกติ
  • ความดันโลหิตสูงมากผิดปกติ
  • คลื่นไส้อาเจียนมาก
อย่างไรก็ตาม “ไต” เป็นอวัยวะที่ต้องทำงานตลอดเวลา ถ้าไตทำงานผิดปกติไปจะทำให้ร่างกายทำงานผิดปกติตามไปด้วย ฉะนั้นการดูแลไตและลดความเสี่ยงที่จะทำให้เกิดโรคไต พร้อมหมั่นตรวจสุขภาพไตว่ายังทำงานปกติอยู่หรือไม่จึงเป็นสิ่งสำคัญ เพราะโรคไตถือว่าเป็นภัยเงียบ เนื่องจากในระยะแรกอาจไม่แสดงอาการชัดเจน แต่จะเริ่มมีอาการเมื่อตอนที่ไตเสียหายไปพอสมควรแล้ว จนเข้าสู่โรคไตเรื้องรังระยะสุดท้าย ต้องรักษาด้วยการฟอกไตตลอดชีวิตได้