Categories
บทความ

ร่างกายรับ PM 2.5 เรื้อรังอันตราย เสี่ยงก่อโรคมะเร็งปอด

ร่างกายรับ PM 2.5 เรื้อรังอันตราย เสี่ยงก่อโรคมะเร็งปอด

มะเร็งปอดเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับที่ 2 ของคนไทย (เป็นอันดับที่ 2 ในผู้ชายรองจากมะเร็งตับ และเป็นอันดับ 1 ในผู้หญิง) เป็นที่ทราบดีว่าสาเหตุสำคัญเกิดจาการสูบบุหรี่ หรือการอยู่ใกล้ชิดกับคนที่สูบบุหรี่ ปัจจุบันพบมะเร็งปอดในกลุ่มที่ไม่สูบบุหรี่เพิ่มมากขึ้น เช่น กลุ่มที่ทำงานสัมผัสสารเคมี เช่น แร่ใยหิน โครเมียม นิกเกิล เป็นต้นและ ที่เป็นปัญหาที่สำคัญขณะนี้ คือ มลภาวะอากาศ โดยเฉพาะ PM 2.5 สามารถเพิ่มการเกิดมะเร็งปอดได้ 1-1.4 เท่า


PM 2.5 ก่อให้เกิดมะเร็งปอดได้จริงหรือ

PM 2.5 (Particulate Matter) เป็นอนุภาคขนาดเล็กกว่า 2.5 ไมครอน (เล็กกว่าเส้นผมมนุษย์ 20 กว่าเท่า) เกิดจากการเผาไหม้เครื่องรถยนต์ การเผาในที่โล่ง และควันจากโรงงานอุตสาหกรรม เป็นต้น โดยอนุภาคที่เล็กมากนี้สามารถเข้าสู่ปอด และเข้าสู่กระแสเลือดได้ ก่อให้เกิดผลต่อสุขภาพ ในระยะสั้น เช่น แสบตา แสบจมูก ระคายเคืองตา ทำให้ผู้ที่เป็นภูมิแพ้ หอบหืด และถุงลมโป่งพองกำเริบได้ ถ้าได้รับ PM 2.5 ปริมาณมากและยาวนาน จะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหอบหืด ภูมิแพ้ ถุงลมโป่งพอง มะเร็งปอด โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง และโรคไต

นอกจากนี้ PM 2.5 ยังมีองค์ประกอบสารเคมีบางชนิด ที่ก่อให้เกิดมะเร็งได้ เช่น โพลีไซคลิกอะโรมาติก ไฮโครคาร์บอน เกิดจาการเผาไหม้ของสารอินทรีย์ไม่สมบูรณ์

ทั้งนี้ได้มีการศึกษาพบว่า PM 2.5 ปริมาณ 22 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร เทียบเท่าการสูบบุหรี่ 1 มวน แม้ความเสี่ยงของ PM 2.5 ต่อมะเร็งปอดจะไม่มากเท่าการสูบบุหรี่ แต่ถ้าต้องได้รับ PM 2.5 ในปริมาณมาก เป็นเวลานานก็เพิ่มความเสี่ยงมะเร็งปอดได้


สามารถป้องกันเพื่อลดความเสี่ยงมะเร็งปอดจาก PM 2.5 ได้อย่างไร

จากคำแนะนำของราชวิทยาลัยอายุรแพทย์ ร่วมกับ 5 สมาคมวิชาชีพเวชกรรม ออกคำแนะนำการปฏิบัติตัวของประชาชนในช่วงวิฤตฝุ่น PM 2.5 ประกาศ ณ วันที่ 10 มีนาคม 2566 โดยประชาชนกลุ่มเสี่ยงคือ เด็ก หญิงตั้งครรภ์ ผู้สูงอายุ และผู้ที่มีโรคเรื้อรัง (โรคปอด หัวใจ สมอง ไต) ดังนี้

    1. หมั่นตรวจสอบคุณภาพอากาศจากแหล่งข้อมูลของรัฐและเอกชน หรือใช้เครื่องวัดปริมาณฝุ่นแบบพกพา เพื่อวางแผนกิจวัตรประจำวันให้เหมาะสม
    2. เมื่อค่า PM2.5 ในขณะนั้น (ค่ารายชั่วโมง) ขึ้นสูงเกินเกณฑ์ คือ
      • กรณีสูงกว่า 50 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร กลุ่มเสี่ยงงดทำกิจกรรมกลางแจ้ง บุคคลทั่วไปลดและปรับเวลาทำกิจกรรมกลางแจ้ง โดยใส่หน้ากากอนามัยตลอดเวลา
      • กรณีสูงกว่า 100 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ทุกคนต้องงดทำกิจกรรมกลางแจ้ง ยกเว้นบุคคลที่ต้องทำหน้าที่บริการสาธารณะ ให้ใส่หน้ากาก N95 ตลอดเวลา
      • กรณีสูงกว่า 150 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ทุกคนควรอยู่ในตัวอาคารซึ่งติดตั้งระบบระบายและฟอกอากาศที่มีประสิทธิภาพเพียงพอ ยกเว้นบุคคลที่ต้องทำหน้าที่บริการสาธารณะ ให้ใส่หน้ากาก N95 ตลอดเวลา และจำกัดช่วงเวลาปฏิบัติงานไม่ให้เกินครั้งละ 60 นาที
    3. ขณะที่ปริมาณฝุ่นภายนอกขึ้นสูง ภายในตัวอาคารควรจัดให้มีระบบระบายและฟอกอากาศที่มีประสิทธิภาพเพียงพอ
    4. การออกกำลังกายสม่ำเสมอจะช่วยให้ร่างกายเกิดพิษภัยได้น้อยลง และควรหลีกเลี่ยงหรือลดเวลาการออกกำลังกายกลางแจ้งตามระดับเตือนภัยในข้อ 2. ทั้งนี้การออกกำลังกายในร่มควรจัดให้มีระบบระบายและฟอกอากาศที่มีประสิทธิภาพเพียงพอ
    5. การดื่มน้ำสะอาดให้เพียงพอ จะช่วยเร่งการขับฝุ่น PM2.5 ที่เล็ดรอดเข้ากระแสเลือด ออกไปทางไตในรูปของปัสสาวะได้มากขึ้น
    6. การรับประทานผักและผลไม้ให้เพียงพอ จะช่วยเสริมการทำงานของระบบแอนติออกซิแดนท์ ซึ่งช่วยลดการทำลายเซลล์และเนื้อเยื่อจากพิษของฝุ่นได้
อย่างไรก็ตามปัจจุบันวิกฤติฝุ่น PM 2.5 เกิดขึ้นทุกปี โดยเฉพาะ ปลายฤดูหนาวก่อนเข้าฤดูร้อน (ต้นเดือนกุมภาพันธ์) และดูเหมือนจะทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ การดูแลตัวเอง หลีกเลี่ยงมลพิษ ฝุ่นควัน และหมั่นตรวจร่างกายเป็นประจำตรวจภาพรังสีทรวงอก ( X-ray) ประจำปี สำหรับกลุ่มเสี่ยงมะเร็งปอด ที่แนะนำตรวจ Low dose CT scan คือ ผู้มีอายุ 55 ปี ขึ้นไป และ สูบบุหรี่ประมาณ 20 มวนต่อวัน ติดต่อกันนาน 30 ปี หรือ 40 มวนต่อวัน ติดต่อกันนาน 15 ปี รวมถึงผู้ที่เลิกบุหรี่มาน้อยกว่า 15 ปี
Categories
บทความ

โรคอุจจาระร่วงเฉียบพลัน

อุจจาระร่วงเฉียบพลัน

โรคอุจจาระร่วงเฉียบพลัน เป็นโรคที่พบบ่อยโดยเฉพาะในพื้นที่
ที่มีสุขอนามัยไม่ดี ผู้ป่วยที่เป็นโรคนี้จะถ่ายอุจจาระเหลวหรือถ่ายอุจจาระเป็นน้ำ
ตั้งแต่ 3 ครั้งขึ้นไปในหนึ่งวัน ผู้ป่วยส่วนใหญ่มีอาการไม่รุนแรงและมักหาย
ได้เอง ส่วนน้อยมีอาการรุนแรงและจำเป็นต้องได้รับการรักษาพยาบาล
สาเหตุ
ส่วนใหญ่เกิดจากการติดเชื้อ ซึ่งอาจเป็นแบคทีเรียไวรัส โปรโตชัว
หรือพยาธิ โดยผู้ป่วยได้รับเชื้อจากการกินอาหาร หรือดื่มน้ำที่ปนเปื้อนเชื้อ
เข้าไปอาการของอุจจาระร่วงเฉียบพลันมักจะเกิดหลังจากได้รับเชื้อตั้งแต่
12 ชั่วโมงถึง 4 วัน โรคอุจจาระร่วงเฉียบพลันอาจเกิดจากสาเหตุอื่น เช่น
การแพ้อาหาร โรคลำไส้อักเสบเรื้อรังหรือเกิดจากผลข้างเคียงของยา เป็นต้น

อาการ
ผู้ป่วยที่มีอาการไม่รุนแรง อาจถ่ายอุจจาระเหลวหรือถ่ายเป็น
น้ำเพียงอย่างเดียว และจำนวนครั้งของการถ่ายไม่มากนัก ส่วนผู้ป่วยมี
อาการรุนแรง อาจถ่ายอุจจาระปริมาณมากหรือถ่ายเกิน 10 ครั้ง ต่อวัน
ทำให้มีการสูญเสียน้ำและเกลือแร่ปริมาณมากจนอาจทำให้ความดันโลหิตต่ำได้
อาการที่อื่นที่พบร่วมด้วย
ได้แก่ มีไข้ และปวดท้องผู้ป่วยที่มีอาการต่อไปนี้ควรไปพบ
แพทย์เพื่อรับการตรวจรักษาถ่ายอุจจาระเป็นน้ำปริมาณมากและมีอาการ
ของภาวะขาดน้ำ เช่น ปากแห้ง คอแห้ง มึนศรีษะ เมื่อลุกนั่งหรือยืน
ปัสสาวะออกน้อย ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ เป็นต้น อาเจียนบ่อยจนกินอาหาร
และน้ำไม่ได้ ถ่ายอุจจาระเป็นมูกเลือดถ่ายอุจจาระเป็นสีดำ หรือเป็นเลือดสด
มีไข้สูงตั้งแต่ 38.5 องศาเซลเซียนขึ้นไป ปวดท้องรุนแรง ถ่ายอุจจาระตั้ง
แต่ 6 ครั้งขึ้นไปในหนึ่งวัน อาการไม่ดีขึ้นภายใน 48 ชั่วโมง
การตรวจวินิจฉัย
ในรายที่มีอาการไม่รุนแรง ไม่จำเป็นต้องตรวจอุจจาระเพื่อ
หาสาเหตุของโรค เนื่องจากมักหายได้เองภายใน 48 ชั่วโมง ส่วนในรายที่
มีอาการรุนแรงแพทย์อาจส่งตรวจอุจจาระและเพาะเชื้อเพื่อหาสาเหตุและตรวจ
เลือดเพื่อดูความรุนแรงของโรค

การรักษา
ผู้ป่วยที่มีอาการไม่รุนแรง สามารถดื่มน้ำเกลือแร่ที่เตรียมจากผง
เกลือแร่ซึ่งผลิตสำหรับโรคอุจจาระร่วงโดยเฉพาะเพื่อชดเชยน้ำและเกลือแร่ที่สูญ-
เสียไป เครื่องดื่มเกลือแร่ที่ใช้ในนักกีฬาหรือหลังออกกำลังกายเพื่อชดเชยเหงื่อ
ที่เสียไปนั้น มีปริมาณเกลือแร่ไม่เพียงพอที่จะชดเชยการสูญเสียจากการถ่าย
อุจจาระในโรคอุจจาระร่วงเฉียบพลัน อาจให้ยาเพื่อรักษาอาการที่พบร่วมด้วย
เช่น ยาลดไข้ ยาแก้ปวดท้อง เป็นต้น แพทย์อาจพิจารณาให้ยาฆ่าเชื้อเฉพาะใน
รายที่มีอาการรุนแรงหรือภูมิต้านทานต่ำไม่ควรให้ยาหยุดถ่ายในผู้ป่วยที่มีใช้หรือ
ถ่ายอุจจาระเป็นมูกเลือด เนื่องจากยาหยุดถ่ายไม่ได้รักษาที่สาเหตุ

การป้องกัน
– กินอาหารและดื่มน้ำที่สุกสะอาด
– ล้างผักและผลไม้ให้สะอาดก่อนกิน
– ล้างมือให้สะอาดก่อนกินอาหารและหลังจากเข้าห้องน้ำ
– รักษาความสะอาดของอุปกรณ์และภาชนะที่ใช้
– หลีกเลี่ยงการกินอาหารที่ปรุงไว้แล้วนาน ๆ โดยไม่ได้เก็บอย่างถูกวิธี

Categories
บทความ

โรคหลอดลมอักเสบ

โรคหลอดลมอักเสบ

โรคหลอดลมอักเสบ ปล่อยไว้นาน รักษาไม่ถูกวิธี เสี่ยงเป็นปอดอักเสบได้

โรคหลอดลมอักเสบ (Bronchitis)
เป็นโรคทางระบบทางเดินหายใจที่เกิดจากการติดเชื้อที่หลอดลม เกิดจากการติดเชื้อไวรัสและเชื้อแบคทีเรีย ทำให้เยื่อบุหลอดลมเกิดการอักเสบบวม ทำให้เกิดอาการไอมาก มีเสมหะ หายใจลำบาก แน่นหน้าอก อาจมีอาการเจ็บคอ แสบคอ หรือเจ็บหน้าอกได้ ผู้ป่วยอาจมีไข้ รู้สึกครั่นเนื้อ ครั่นตัวได้ มักพบได้บ่อยในช่วงฤดูฝนและฤดูหนาว และพบผู้ติดเชื้อได้ทุกช่วงอายุ 

โรคหลอดลมอักเสบ แบ่งเป็น 2 ชนิด

•โรคหลอดลมอักเสบชนิดเฉียบพลัน (Acute bronchitis) 

ส่วนใหญ่พบได้มากกว่าร้อยละ 90 ของผู้ป่วยหลอดลมอักเสบเฉียบพลันเกิดจากเชื้อไวรัส เหมือนไข้หวัด มักเป็นตามหลังไข้หวัด ซึ่งไม่ได้รับการรักษา หรือปฏิบัติตนอย่างถูกต้อง ทำให้การติดเชื้อลามลงไปถึงหลอดลม ผู้ป่วยที่เป็นหวัด มีอาการไอ มีเสมหะ เป็นระยะเวลามากกว่า 1 สัปดาห์ อาจเป็นหลอดลมอักเสบเฉียบพลัน ซึ่งมีอาการไม่เกิน 3 สัปดาห์  ควรให้การรักษา หรือปฏิบัติตนให้ถูกต้องตั้งแต่เนิ่นๆ เพื่อไม่ให้เป็นโรคหลอดลมอักเสบชนิดเฉียบพลันได้

•โรคหลอดลมอักเสบชนิดเรื้อรัง (Chronic bronchitis) 

อาจเกิดจากโรคภูมิแพ้ โรคหืด รวมถึงการสูบบุหรี่เป็นระยะเวลานาน (มีอาการไอมีเสมหะมากกว่า 3 เดือน – 2 ปี) หรือสัมผัสกับมลภาวะ เช่นฝุ่น ควัน หรือสารเคมีที่ระเหยได้ โรคหลอดลมอักเสบชนิดเรื้อรัง ทำให้ผู้ป่วยเสี่ยงต่อการติดเชื้อแบคทีเรียได้ง่ายขึ้น อาจทำให้เสมหะเปลี่ยนเป็นสีเหลือง หรือเขียว

อาการ

เมื่อเชื้อเข้าสู่ทางเดินหายใจหรือบริเวณหลอดลม ทำให้อักเสบของเยื่อบุหลอดลมและบวมมากขึ้น ส่งผลให้หลอดลมตีบแคบ อากาศไหลเข้าสู่ปอดได้ไม่ดี หายใจลำบาก เกิดการอักเสบทำให้การขับเสมหะของเยื่อบุหลอดลมไม่ดี ส่งผลให้เกิดอาการไอมากขึ้น ไอแห้งหรือไอมีเสมหะ คล้ายกับโรคหวัด โดยปกติส่วนใหญ่โรคนี้มักหายได้เองภายใน 7-10 วัน แต่อาการไอแห้ง อาจเป็นได้นานหลายสัปดาห์หรือเป็นเดือน ในผู้ป่วยบางรายที่ผู้ป่วยสูงอายุมีอาการไอมากๆ ทำให้เจ็บกล้ามเนื้อ หน้าอก ชายโครง และอาจเกิดเส้นเลือดฝอยในปอดแตก ออกสู่โพรงเยื่อหุ้มปอด จนเกิดอาการหอบเหนื่อยทันที หลังการไอ ทั้งนี้หากรักษาไม่ถูกวิธี การติดเชื้อจากหลอดลมอาจลามไปที่ปอด ทำให้เกิดปอดอักเสบ (Pneumonia) หรือหลอดลมอักเสบเฉียบพลัน อาจกลายเป็นหลอดลมอักเสบเรื้อรัง หรือโรคถุงลมโป่งพอง รวมถึงมีความเสี่ยงเป็นอันตรายถึงชีวิตได้

การรักษา

โรคหลอดลมอักเสบชนิดเฉียบพลัน มักจะหายได้เอง ภายใน 7-10 วัน ถ้าปฏิบัติอย่างถูกต้อง

•พักผ่อนให้เพียงพอ ดื่มน้ำอุ่นบ่อยๆ เพราะน้ำเป็นยาละลายเสมหะได้ดีที่สุด

•หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ ควัน กลิ่นฉุน ควันบุหรี่ สารเคมี ฝุ่น สารระคายเคืองต่างๆ

•หลีกเลี่ยงอากาศเย็น และแห้ง ซึ่งจะทำให้ไอมากขึ้น

•ควรให้ความอบอุ่นแก่ร่างกายขณะนอนให้เพียงพอ 

•ควรหาสาเหตุที่ทำให้เป็นหลอดลมอักเสบ สาเหตุที่พบได้บ่อยที่ทำให้ภูมิต้านทานน้อยลง เช่น เครียด, นอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอ, สัมผัสอากาศที่เย็นมากๆ

•รักษาตามอาการ เช่น มีไข้ อาจรับประทานยาลดไข้แต่ถ้าไอมากๆ อาจรับประทานยาลดหรือระงับอาการไอ  ถ้ามีเสมหะมาก อาจรับประทานยาขับเสมหะ หรือยาละลายเสมหะ

แหล่งที่มา : https://www.bpksamutprakan.com/care_blog/view/78

Categories
บทความ

ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ไหน รุนแรงที่สุด มีอาการอย่างไร ป้องกันได้หรือไม่

ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ไหน รุนแรงที่สุด มีอาการอย่างไร ป้องกันได้หรือไม่

จากการที่ไข้หวัดใหญ่กำลังแพร่ระบาดในขณะนี้ มีทั้งไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A และไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ B ทำให้เกิดคำถามว่าไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ไหนรุนแรงที่สุด และสามารถป้องกันได้หรือไม่

ไข้หวัดใหญ่ ชื่ออาจจะฟังดูไม่น่ากลัวเท่าโควิด-19 แต่ความจริงแล้วมีความรุนแรงกว่าที่คิด รศ. (พิเศษ) นพ.ทวี โชติพิทยสุนนท์ ประธานมูลนิธิส่งเสริมการศึกษาไข้หวัดใหญ่ เผยว่า ในช่วงฤดูฝนของปี 2566 นี้ มีการระบาดของไข้หวัดใหญ่เพิ่มขึ้นกว่า 3 ปีที่ผ่านมา ซึ่งอยู่ในช่วงที่โควิด-19 กำลังแพร่ระบาดไปทั่วโลก ทำให้ผู้คนเก็บตัวในบ้าน ระมัดระวังด้านสุขอนามัย โอกาสแพร่เชื้อไข้หวัดใหญ่ก็น้อยลง

นอกจากนี้ประชาชนฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่น้อยลง ทำให้ร่างกายไม่มีภูมิคุ้มกัน แต่ไวรัสไข้หวัดใหญ่ยังหมุนเวียนอยู่อย่างเบาบาง เมื่อการระบาดของโควิด-19 ลดลง สังคมเข้าสู่สภาวะปกติ ทำให้พบผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่มากขึ้นอย่างชัดเจน ข้อมูลล่าสุดจากกรมควบคุมโรคเผยว่า ปี 2566 คนไทยติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ไปแล้วกว่า 200,000 ราย และยังไม่มีแนวโน้มที่จะลดลง เพราะคนไทยยังไม่มี ‘ภูมิคุ้มกัน’ ไข้หวัดใหญ่

ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ไหน รุนแรงที่สุด

ไข้หวัดใหญ่ คือ โรคติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ ที่มีสาเหตุมาจาก “เชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่” ทำให้ผู้ติดเชื้อ มีไข้สูง ปวดหัว ตัวร้อน ไอ จาม มีน้ำมูก และปวดเมื่อยตามตัว โดยเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ ที่ปัจจุบันถือได้ว่า “ร้ายกาจที่สุด” และส่งผลกระทบต่อผู้คนในสังคมเรามากที่สุดนั้น จะมีอยู่ด้วยกัน 2 สายพันธุ์ ได้แก่

1. ไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A

เป็นสายพันธุ์ที่มีความอันตรายมากที่สุด เพราะสามารถกลายพันธุ์ได้ รวมทั้งยังแพร่ระบาดได้เป็นวงกว้าง ทำให้เชื้อมีความเป็นลูกผสม และมีฤทธิ์รุนแรง โดยไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A มักจะแพร่ระบาดตามฤดูฝนและฤดูหนาว ซึ่งสามารถแบ่งแยกออกได้เป็น 2 สายพันธุ์ย่อยที่พบบ่อย คือ H1N1 และ H3N2

2. ไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ B

เป็นสายพันธุ์ที่มีความอันตรายรุนแรงเช่นกัน ที่พบได้บ่อย คือ B Victoria, B Yamagata, B Phuket ซึ่งสามารถระบาดได้ทั้งในฤดูฝนและฤดูหนาวเช่นเดียวกัน แต่อาการไม่รุนแรงเท่าไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A

อาการไข้หวัดใหญ่

สำหรับอาการของไข้หวัดใหญ่มักจะมีอาการไม่แตกต่างจากไข้หวัดทั่วไป แต่มีความรุนแรงกว่า โดยสัญญาณที่บ่งบอกว่าอาการที่เราเป็นอยู่นั้นไม่ใช่ไข้หวัดธรรมดา แต่เป็นไข้หวัดใหญ่ ประกอบไปด้วย

  • มีไข้สูงกว่า 38 องศาฯ ขึ้นไป
  • มีอาการปวดศีรษะ
  • หนาวสั่น อ่อนเพลีย
  • มีน้ำมูกไหล คัดจมูก
  • เจ็บคอ มีอาการไอ
  • ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ตามร่างกาย แขน ขา ตามตัว
  • ในเด็กเล็กมีอาการถ่ายเหลว คลื่นไส้ อาเจียน และชักจากไข้สูง

ไข้หวัดใหญ่ส่วนมากจะมีระยะเวลาอาการของโรค 5 วัน หากมีอาการนานกว่านั้น อาจเกิดจากการติดเชื้อของแบคทีเรียแทรกซ้อนที่พบได้ในบางราย

ใครเป็นกลุ่มเสี่ยงไข้หวัดใหญ่

ต้องบอกว่าทุกคนเป็นกลุ่มเสี่ยงที่สามารถติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ได้ เพราะติดต่อผ่านการไอ จาม พูดคุย แล้วสูดเอาละอองที่มีเชื้อไวรัสเข้าสู่ร่างกาย ซึ่งจะติดเชื้อได้ง่ายมาก-น้อยแค่ไหน ก็ขึ้นอยู่ 2 ปัจจัย คือ ความรุนแรงและปริมาณของเชื้อ ประกอบกับสภาพร่างกายของเรา หากร่างกายไม่แข็งแรงแล้ว ต่อให้เชื้อไม่ดุ มีปริมาณน้อย ก็อาจติดเชื้อและเป็นไข้หวัดใหญ่ได้ในที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบุคคลกลุ่มเสี่ยงดังต่อไปนี้ ต้องยิ่งระมัดระวัง เพราะมีโอกาสเกิดภาวะรุนแรงแทรกซ้อนมากที่สุด

  • หญิงมีครรภ์
  • เด็กเล็ก อายุ 6 เดือน ถึง 2 ปี
  • บุคคลที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไป
  • ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง ได้แก่ ปอดอุดกั้นเรื้อรัง หืด หัวใจ ไตวาย หลอดเลือดสมอง เบาหวาน ธาลัสซีเมีย มะเร็งที่อยู่ระหว่างได้รับเคมีบำบัด ผู้พิการทางสมองที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง และผู้ติดเชื้อเอชไอวี
  • ผู้ที่มีน้ำหนักตั้งแต่ 100 กิโลกรัม หรือดัชนีมวลกายตั้งแต่ 35 กิโลกรัมต่อตารางเมตร

กลุ่มที่ต้องระวังการติดเชื้อไช้หวัดใหญ่เป็นพิเศษ คือ กลุ่มผู้สูงอายุ เพราะมีโอกาสเสียชีวิตสูงกว่ากลุ่มอายุอื่นๆ หากป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่แล้ว โรคแทรกซ้อนที่อาจจะตามมา และทำให้เกิดความรุนแรงสูงเป็นอันดับหนึ่ง คือ ‘ปอดอักเสบ’ ตามมาด้วย โรคหัวใจวาย โรคกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน และโรคหลอดเลือดสมอง (stroke)

วิธีป้องกันการติดเชื้อไข้หวัดใหญ่

  1. ไม่ควรคลุกคลีใกล้ชิดกับผู้ป่วยที่มีอาการไข้หวัด
  2. ควรปิดปาก จมูก ด้วยหน้ากากอนามัย
  3. หลีกเลี่ยงการอยู่ในสถานที่ที่มีผู้คนแออัด และอากาศถ่ายเทไม่ดีเป็นเวลานานโดยไม่จำเป็น
  4. หมั่นล้างมือบ่อยๆ ด้วยน้ำและสบู่ หรือใช้แอลกอฮอล์เจลทำความสะอาดมือ
  5. ไม่ใช้สิ่งของร่วมกับผู้อื่น เช่น แก้วน้ำ หลอดดูดน้ำ ช้อนอาหาร ผ้าเช็ดมือ ผ้าเช็ดหน้า ผ้าเช็ดตัว เป็นต้น
  6. ฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ปีละครั้ง โดยเฉพาะผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยง

ดังนั้นคำถามที่ว่าไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ไหนรุนแรงที่สุด ต้องบอกว่ามีความรุนแรงทั้งสองสายพันธุ์ แม้ว่าสายพันธุ์ B จะมีความรุนแรงของอาการน้อยกว่า แต่ก็ไม่ควรประมาท โดยเฉพาะบุคคลที่เป็นกลุ่มเสี่ยง ทางที่ดีที่สุดคือควรป้องกันตนเองไม่ให้ติดเชื้อ รวมทั้งฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่เป็นประจำทุกปี