Categories
บทความ

โรคและภัยสุขภาพที่ควรเฝ้าระวังในช่วงฤดูหนาว

โรคและภัยสุขภาพที่ควรเฝ้าระวังในช่วงฤดูหนาว

ควรระมัดระวังในช่วงฤดูหนาว ในช่วงเดือนตุลาคมถึงกุมภาพันธ์ของทุกปี ประเทศไทยจะเข้าสู่ฤดูหนาว ซึ่งบางพื้นที่จะมีอุณหภูมิลดลงอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะจังหวัดในพื้นที่ภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ อากาศที่หนาวเย็นอาจทำให้ร่างกายปรับตัวไม่ทัน เสี่ยงเจ็บป่วยได้ง่าย จึงขอให้หมั่นดูแลร่างกายให้อบอุ่นและแข็งแรงอยู่เสมอ เพื่อลดโอกาสที่จะเจ็บป่วยจากโรคและภัยสุขภาพ โดยแบ่งเป็น 4 กลุ่ม

  • โรคติดต่อระบบทางเดินหายใจ (โรคไข้หวัดใหญ่ โรคปอดอักเสบ)
  • โรคติดต่อทางเดินอาหารและน้ำ (โรคอุจจาระร่วง)
  • โรคติดต่อที่สำคัญอื่นๆ ในช่วงฤดูหนาว (โรคหัด โรคมือ เท้า ปาก)
  • ภัยสุขภาพ (การเสียชีวิตที่เกี่ยวเนื่องจากภาวะอากาศหนาว)

กลุ่มที่ 1 โรคติดต่อระบบทางเดินหายใจ ได้แก่ โรคไข้หวัดใหญ่ สามารถติดต่อจากการไอ จามรดกัน หรือสัมผัสสิ่งของที่มีเชื้อร่วมกัน หากได้รับเชื้อแล้วจะมีอาการไข้ ไอแห้งๆ ปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อ เยี่อบุโพรงจมูกอักเสบและเจ็บคอ โรคปอดอักเสบ เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย เชื้อไวรัส และเชื้อราบางชนิดที่ถุงลมปอดจากการหายใจหรือสัมผัสละอองฝอยจากน้ำมูก น้ำลายที่ปนเปื้อนเชื้อ จะมีอาการไข้ ไอ หายใจหอบเหนื่อย อาการดังกล่าวมักเป็นเฉียบพลัน และพบได้ในทุกกลุ่มอายุ แต่จะมีอาการรุนแรงในผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่องและมีโรคประจำตัว

        โดยทั้งสองโรคนี้สามารถป้องกันได้ด้วยการรักษาสุขภาพให้แข็งแรง หมั่นล้างมือบ่อยๆ ด้วยน้ำและสบู่หรือแอลกอฮอล์เจล ไม่ใช้ของส่วนตัวร่วมกับผู้อื่น และสวมหน้ากากผ้าหรือหน้ากากอนามัยทุกครั้งเมื่อออกนอกบ้าน ซึ่งวิธีดังกล่าวสามารถป้องกันโรคโควิด 19 ได้อีกด้วย

กลุ่มที่ 2 โรคติดต่อทางเดินอาหารและน้ำ ได้แก่ โรคอุจจาระร่วง เกิดจากการรับประทานอาหารหรือน้ำที่ไม่สะอาด มีการปนเปื้อนเชื้อโรคจะมีอาการถ่ายเหลวมากกว่า 3 ครั้งขึ้นไปใน 1 วัน อาจมีไข้หรืออาเจียนร่วมด้วย ซึ่งสามารถป้องกันได้โดยการดูแลสุขอนามัย ดื่มน้ำสะอาดและรับประทานอาหารที่ปรุงสุกและสะอาด

กลุ่มที่ 3 โรคติดต่อที่สำคัญอื่นๆ ในช่วงฤดูหนาว ได้แก่ โรคหัด เกิดจากการหายใจเอาละอองอากาศที่ปนเปื้อนเชื้อไวรัสจากการไอ จามของผู้ป่วย หรือพูดคุยกันในระยะใกล้ หากป่วยอาการจะคล้ายกับไข้หวัดธรรมดา แต่จะมีไข้สูง ตาแดงและแฉะ และมีผื่นนูนแดงขึ้นติดกันเป็นปื้นๆ ปัจจุบันไม่มียารักษาจำเพาะ แต่มีวัคซีนที่สามาถป้องกันได้ โดยต้องฉีดเข็มแรก ตอนอายุ 9 – 12 เดือน เข็มสอง ตอนอายุ 1 ปีครึ่ง

กลุ่มที่ 4 ภัยสุขภาพ การเสียชีวิตที่เกี่ยวเนื่องจากภาวะอากาศหนาว โดยไม่ทราบสาเหตุ ส่วนใหญ่เกิดจากภาวะหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน เนื่องจากไม่มีเครื่องนุ่งห่มหรือเครื่องห่มกันหนาวที่เพียงพอในพื้นที่อากาศหนาว และมีประวัติการดื่มสุราเป็นประจำ ดังนั้นควรเตรียมเครื่องนุ่งห่มกันหนาวให้พร้อมและเพียงพอ และงดการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พร้อมทั้งดูแลร่างกายให้แข็งแรง ออกกำลังกายและรับประทานอาหารที่มีประโยชน์

ขอบคุณที่มา : กรมควบคุมโรค

แหล่งที่มา : https://bangpakok3.com/care_blog/view/222

Categories
บทความ

โรคซึมเศร้า โรคฮิตหรือแค่คิดไปเอง

โรคซึมเศร้า โรคฮิตหรือแค่คิดไปเอง

โรคซึมเศร้ากำลังรุกเร้าสู่สังคมไทย

ในช่วงเวลาหลายปีมานี้ สื่อต่างๆ มีการนำเสนอข่าวคนดัง ข่าวอาชญากรรม และแม้แต่ข่าวการฆ่าตัวตายที่มีส่วนเกี่ยวโยงกับการเป็นโรคซึมเศร้าออกมาอย่างต่อเนื่อง เราจึงควรตระหนักว่า โรคซึมเศร้าใกล้ตัวเรากว่าที่คิด เราอาจจะไม่รู้ตัวว่าตัวเองหรือคนรอบข้างกำลังเสี่ยงหรือเป็นโรคซึมเศร้าอยู่ เพราะข่าวที่ออกมาก็ไม่ได้ให้ความรู้เกี่ยวกับโรคในเชิงลึกสักเท่าไหร่ วันนี้เราจะมาทำความรู้จักโรคซึมเศร้าในแง่มุมต่างๆ ให้มากขึ้น เพื่อจะเป็นประโยชน์ในการระแวดระวังและหาทางป้องกันหรือรีบรักษา

โรคซึมเศร้ากับสถิติอันตราย

ปัจจุบันโลกของเรามีประชากรราว 7.6 พันล้านคน และมีคนเป็นโรคซึมเศร้าถึง 300 ล้านคน หรือเกือบ 4% เลยทีเดียว ส่วนในคนไทยเองนั้นพบว่ามีผู้ป่วยโรคซึมเศร้าถึง 1.5 ล้านคน หรือ 2.2% ของคนไทยทั้งหมด 69 ล้านคน และน่าตกใจว่าคนไทยฆ่าตัวตายสำเร็จถึง 4,000 คนต่อปี ซึ่งสาเหตุสำคัญของการฆ่าตัวตายก็คือโรคซึมเศร้านั่นเอง

โรคซึมเศร้าคืออะไร

โรคซึมเศร้าเกิดจากความผิดปกติของสมองในส่วนที่มีผลกระทบต่อความคิด อารมณ์ ความรู้สึก พฤติกรรม รวมถึงสุขภาพทางกาย แต่ที่คนส่วนใหญ่รู้เกี่ยวกับโรคซึมเศร้าก็มักจะนึกถึงเพียงอาการหรือสภาพจิตใจที่เปลี่ยนไป จึงคิดว่าโรคซึมเศร้าเกิดจากความผิดหวัง หรือการได้รับความกระทบกระเทือนทางจิตใจ และจะสามารถรักษาหรือแก้ไขได้ด้วยการให้กำลังใจ ซึ่งในความจริงแล้ว โรคซึมเศร้าเป็นโรคที่เกิดจากความไม่สมดุลของสารสื่อประสาท 3 ชนิด คือ ซีโรโตนิน นอร์เอปิเนฟริน และโดปามีน จึงจำเป็นที่ต้องได้รับการรักษาจากจิตแพทย์ เพราะนอกจากจะต้องบำบัดอย่างถูกวิธีแล้ว ยังอาจจะต้องใช้ยาในการรักษาร่วมด้วย

พันธุกรรม สิ่งแวดล้อม และเหตุเสี่ยงโรคซึมเศร้า

ปัจจัยเสี่ยงที่จะทำให้ป่วยเป็นโรคซึมเศร้าประกอบไปด้วยพันธุกรรม สิ่งแวดล้อม และการใช้ชีวิต

  • หากมีฝาแฝดคนหนึ่งเป็นโรคซึมเศร้า หรือ bipolar ฝาแฝดอีกคนมีโอกาสเป็นสูงถึง 60-80%
  • หากคนในครอบครัวที่เป็นญาติสายตรง (พ่อ แม่ พี่ น้อง) ที่เป็นโรคซึมเศร้า ก็จะมีโอกาสเป็นมากกว่าคนทั่วไป 20%
  • อาจสรุปได้ว่าระหว่างพันธุกรรมกับสิ่งแวดล้อม ปัจจัยที่ส่งผลให้เป็นโรคซึมเศร้านั้นเป็นสัดส่วนอยู่ที่ 40:60%
  • การใช้ยาบางอย่างก็ส่งผลให้เกิดอาการซึมเศร้าได้ เช่น ยานอนหลับบางตัว ยารักษาสิว ยาแก้อักเสบ ยาแก้ปวด สารเสพติดหรือแอลกอฮอล์

9 ข้อสำรวจเข้าข่ายโรคซึมเศร้า

การสังเกตตัวเองหรือคนรอบข้างว่าเข้าข่ายโรคซึมเศร้าหรือไม่ สามารถตรวจจากข้อสำรวจง่ายๆ 9 ข้อนี้ ซึ่งข้อสำรวจนี้ก็ คือ เกณฑ์ที่แพทย์ใช้ในการวินิจฉัยโรคซึมเศร้า หากมีอาการ 5 ข้อขึ้นไป โดยต้องมีข้อ 1.) และ/หรือข้อ 2.) อยู่ด้วย หากอาการ 5 ใน 9 ข้อดังกล่าวเป็นยาวนานติดต่อกันเกินกว่า 2 สัปดาห์ ก็เข้าข่ายเสี่ยง ควรปรึกษาจิตแพทย์ เพื่อวิเคราะห์และหาแนวทางแก้ไขหรือรักษาต่อไป

  1. รู้สึกเศร้า เบื่อ ท้อแท้ หรือหงุดหงิดง่ายอย่างต่อเนื่อง
  2. เลิกสนใจสิ่งที่เคยชอบมากๆ หรือไม่อยากทำสิ่งที่เคยชอบทำ
  3. พฤติกรรมการกินเปลี่ยนไป กินมากไป กินน้อยไป จนทำให้น้ำหนักขึ้นหรือลงผิดปกติ
  4. จากที่เคยหลับง่ายก็หลับยากขึ้น หรือไม่ก็นอนมากเกินไป
  5. มีอาการกระวนกระวายหรือเฉื่อยชาที่แสดงออกให้เห็นชัด
  6. รู้สึกหมดเรี่ยวแรง ไม่มีพลัง ไม่อยากลุกขึ้นมาทำอะไรเลย
  7. รู้สึกไร้ค่าหรือรู้สึกผิด โทษตัวเองในทุกๆ เรื่อง
  8. ไม่มีสมาธิในการทำสิ่งต่างๆ มีปัญหาเรื่องการคิดหรือตัดสินใจ
  9. คิดถึงความตายหรืออยากตาย หรืออยากฆ่าตัวตายบ่อยๆ

ประเภทของโรคซึมเศร้า

โรคซึมเศร้ามีหลายประเภท ทำให้ผู้ป่วยซึมเศร้าแต่ละคนมีพฤติกรรมที่แตกต่างกันออกไป เช่น

  • โรคซึมเศร้าแบบเมเจอร์ ดีเพรสชั่น (Major Depression)
    โรคซึมเศร้าชนิดนี้ ผู้ป่วยจะมีอารมณ์ซึมเศร้านานกว่า 2 สัปดาห์ โดยมากมักมีอาการเศร้าซึมมากจนไม่มีความสุขหรือไม่สนใจในสิ่งต่างๆ ที่เคยชอบ หลับยาก น้ำหนักขึ้นหรือลงฮวบฮาบ รู้สึกหงุดหงิด เหนื่อยๆ เนือยๆ ไม่มีเรี่ยวแรง รู้สึกไร้ค่า ช่วงภาวะซึมเศร้านี้สามารถเกิดในช่วงหลังคลอดได้ และมีอาการหลง หูแว่วประสาทหลอนเกิดขึ้นร่วมด้วย ดังนั้นควรเริ่มรักษาตั้งแต่เนิ่นๆ เพื่อไม่ให้โรครุนแรงขึ้น และลดความเสี่ยงต่อการฆ่าตัวตายที่อาจจะเกิดขึ้นได้
  • โรคซึมเศร้าแบบดิสทีเมีย (Dysthymia Depression)
    โรคซึมเศร้าชนิดนี้ ผู้ป่วยจะมีอาการรุนแรงน้อยกว่าชนิด เมเจอร์ ดีเพรสชั่น แต่จะมีอาการอย่างต่อเนื่องอย่างน้อย 2 ปี อาการไม่รุนแรงถึงขนาดทำอะไรไม่ได้ เพียงแต่จะรู้สึกไม่อยากอาหารหรือกินมากไป นอนไม่หลับหรือนอนมากไป เหนื่อยล้า อ่อนเพลีย หมดแรง ขาดความมั่นใจในตัวเอง ไม่ค่อยมีสมาธิ การตัดสินใจแย่ลง และรู้สึกหมดหวัง
  • โรคซึมเศร้าที่เกิดขึ้นก่อนมีระดู  (Premenstrual  depressive disorder)
    ผู้ป่วยจะมีอาการเกิดขึ้นในสัปดาห์สุดท้ายก่อนมีระดู  อาการจะดีขึ้นใน 2-3 วันหลังจากมีระดู อาการที่พบบ่อย  คือ  อารมณ์แกว่ง  รู้สึกเศร้า  อ่อนไหวง่าย  ขัดแย้งกับคนอื่นง่าย  รู้สึกสิ้นหวัง ดูถูกตนเอง  อาจมีอาการวิตกกังวล เครียด นั่งไม่ติด สมาธิลดลง  รู้สึกล้า อ่อนเพลีย  ไม่อยากทำอะไร  ความอยากอาหารเปลี่ยนแปลง  การนอนผิดปกติไปจากเดิม  และมีอาการทางร่างกายร่วมด้วย  เช่น  เจ็บเต้านม  เต้านมบวม  ปวดข้อปวดกล้ามเนื้อ  ตัวบวมขึ้น

เด็กเป็นโรคซึมเศร้าได้ไหม

โรคซึมเศร้าเกิดขึ้นได้ทุกช่วงอายุรวมทั้งในเด็กด้วย  ซึ่งอาการของโรคซึมเศร้าในเด็กจะมีลักษณะหลากหลาย  บางคนแสดงออกด้วยอาการก้าวร้าว อาละวาด  ร้องไห้ง่าย  ในขณะที่บางคนมีอาการเศร้า  ซึม  มีความรู้สึกสิ้นหวังเวลาถูกปฏิเสธ  ถูกขัดใจก็จะอ่อนไหวง่ายกว่าปกติ  ใช้คำพูดรุนแรง  บ่นปวดหัว ปวดท้อง  รู้สึกไร้ค่า  ไม่มีสมาธิ  คิดถึงความตาย  คล้ายกับที่ผู้ใหญ่เป็น หรือบางคนอาจจะมีอาการให้เห็นได้จากการไม่เข้าสังคมในช่วงเริ่มต้นของอาการ  ซึ่งอาการเหล่านี้จะต้องเป็นอยู่นานเป็นสัปดาห์ เด็กส่วนใหญ่ที่มีอาการของโรคซึมเศร้า มักจะมีปัญหาในด้านการเรียนร่วมด้วย

การตรวจและรักษาผู้ป่วยโรคซึมเศร้า

การตรวจวินิจฉัยผู้ป่วยโรคซึมเศร้าจะเริ่มจากการสอบถามอาการ ผลกระทบที่เกิดขึ้น และระดับความรุนแรง ลักษณะการใช้ชีวิตประจำวัน โรคประจำตัว ยาที่กินอยู่ รวมถึงประวัติครอบครัว โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะประเมินร่วมกับบุคลิกภาพที่สังเกตได้ ทำแบบทดสอบทางจิตวิทยา เพื่อนำผลมาประเมินว่าผู้ป่วยควรได้รับการรักษาในแนวทางใด เช่น การรักษาด้วยยา การใช้จิตบำบัด

การให้กำลังใจและช่วยเหลือผู้ป่วยโรคซึมเศร้า

เมื่อเราพบหรือเป็นผู้ที่อยู่ใกล้ชิดผู้ป่วยโรคซึมเศร้า เราควรที่จะเรียนรู้วิธีการที่ทำให้ผู้ป่วยรู้สึกมีค่า  มีกำลังใจในชีวิตมากขึ้น  การให้กำลังใจผู้ป่วย การเป็นผู้ฟังที่ดีจะช่วยให้ผู้ป่วยรู้สึกผ่อนคลายขึ้น  ผู้ใกล้ชิดสามารถที่จะสื่อสารกับผู้ป่วยด้วย ประโยคเหล่านี้ เช่น  

  • เธอไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวนะ ฉันจะอยู่ข้างๆ เธอเอง
  • ฉันอาจจะไม่เข้าใจเธอ แต่ฉันเป็นห่วงและอยากช่วยเธอนะ
  • เธอไหวไหม  เธอเหนื่อยมากไหม
  • ชีวิตเธอสําคัญกับฉันมากๆ นะ
  • เธออยากให้เราช่วยอะไรบ้าง บอกได้นะ เราอยากช่วย

ข้อความดังกล่าวจะช่วยให้ผู้ป่วยโรคซึมเศร้าไม่รู้สึกกดดัน และทำให้ผู้ป่วยได้พูดถึงความคิดของตนได้มากขึ้น ส่วนคำที่ชวนให้ผู้ป่วยคิดเปรียบเทียบ หรือแสดงความไม่เข้าใจว่าทำไม่ถึงต้องซึมเศร้า และจากการที่ผู้ป่วยมีปัญหาในกระบวนการคิดจากภาวะความเจ็บป่วยอยู่ ยิ่งจะเป็นการซ้ำเติม เป็นคำที่ไม่ควรพูด เช่น

  • เธอคิดไปเอง
  • ใครๆ ก็เคยผ่านเรื่องแบบนี้ทั้งนั้นแหละ
  • ลองมองในแง่ดีดูสิ
  • ชีวิตมีอะไรอีกตั้งเยอะ ทําไมถึงอยากตายล่ะ
  • หัดช่วยตัวเองบ้างสิ
  • หยุดคิดเรื่องที่ทําให้เครียดสิ
  • ทําไมยังไม่หายล่ะ
  • มีคนที่แย่กว่าเราอีกตั้งเยอะ เขายังสู้ได้เลย

ทำอย่างไรจึงห่างไกลโรคซึมเศร้า

  1. หมั่นดูแลตนเองให้มีสุขภาพดี ไม่ว่าจะเป็นการออกกำลังกาย พักผ่อนนอนหลับให้เพียงพอ กินอาหารถูกสุขลักษณะ ไม่ใช้สารเสพติด ดื่มเหล้า สูบบุหรี่ และเข้ารับการตรวจสุขภาพอย่างน้อยปีละครั้ง
  2. ในด้านจิตใจ ฝึกให้เป็นคนคิดบวก มองโลกในแง่ดี ไม่คิดร้ายกับใคร ไม่กล่าวโทษตัวเองไปซะทุกเรื่อง ควรหางานอดิเรก คลายเครียด เข้าชมรมต่างๆ ที่เหมาะกับวัย หรือเป็นจิตอาสา ทําสิ่งที่ทำให้รู้สึกตัวเองมั่นใจ มีคุณค่า รู้ว่าใครรักและเป็นห่วงก็ให้อยู่ใกล้คนๆ นั้น และให้อยู่ห่างจากคนที่ไม่ถูกใจ
  3. ไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิต ควรหาเวลาออกไปทำกิจกรรมที่สนุกสนาน ไม่เคร่งเครียดหรือทำงานหนักเกินไป ไม่ไปอยู่ในสถานการณ์หรือดูข่าวร้ายที่ทำให้จิตใจหดหู่ หากมีการใช้ยาเพื่อรักษาโรคใดๆ อยู่ไม่ควรหยุดยาเอง โดยเฉพาะถ้ารักษาโรคด้านจิตเวชอยู่ควรกินยาตามแพทย์สั่ง อย่าได้ขาดหรือหยุดยาเอง

 

ท้ายที่สุด… เราไม่สามารถรักษาหรือบำบัดโรคซึมเศร้าได้ด้วยตัวเอง หากเริ่มรู้สึกว่าชีวิตของตนเองไม่ปกติ ขาดความสมดุล มีความเครียดสูง การพบจิตแพทย์ก็เหมือนกับการตรวจสุขภาพใจให้เราเข้าใจสภาพจิตใจของตนเองในขณะนั้น  แพทย์จะแนะนำวิธีป้องกันและปรับสภาพจิตใจให้ดีขึ้นด้วยการปรับวิธีคิด หรือรักษาด้วยการใช้ยา เพราะปัญหาทางด้านจิตใจหรือพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปนั้น ไม่ใช่มีสาเหตุจากโรคซึมเศร้าเพียงอย่างเดียว การพบจิตแพทย์จะช่วยให้เราได้รับการรักษาอย่างถูกวิธี

 

Categories
บทความ

5 โรคที่มากับหน้าฝน

5 โรคที่มากับหน้าฝน

สภาพอากาศและอุณหภูมิที่เย็นชุ่มฉ่ำในช่วงหน้าฝน เป็นสาเหตุทำให้โรคติดต่อสามารถ แพร่ระบาดได้อย่างรวดเร็ว ประกอบกับอากาศประเทศไทยที่แปรปรวน เดี๋ยวร้อนเดี๋ยวเย็น ยิ่งทำให้สุขภาพและภูมิคุ้มกันถดถอย จึงเป็นที่มาของโรคติดต่อยอดฮิตที่ควรทราบและพึงระวังไว้ โรคติดเชื้อที่พบได้บ่อยในช่วงฤดูฝนคือ โรคไข้หวัด โรคไข้หวัดใหญ่ และโรคไข้เลือดออก

 โรคไข้หวัด

โรคไข้หวัดเป็นโรคที่พบบ่อยที่สุด เกิดจากการติดเชื้อไวรัสซึ่งมีหลายชนิด ติดต่อและ แพร่กระจายได้ง่าย ผู้ป่วยจะมีไข้ต่ำๆ น้ำมูกใส ระคายคอ เสียงแหบ และไอ การรักษาเป็น การรักษาตามอาการ ดื่มน้ำและพักผ่อนให้เพียงพอ อาการมักดีขึ้นเองภายใน 2-3 วัน

 โรคไข้หวัดใหญ่

เกิดจากการติดเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ซึ่งมีหลากหลายสายพันธุ์และแพร่กระจายได้ง่าย คนกลุ่มเสี่ยงที่จะป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่และมีอาการรุนแรงหรือพบภาวะแทรกซ้อนได้บ่อยได้แก่ เด็กเล็ก ผู้สูงอายุ คนอ้วน หญิงตั้งครรภ์ และผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัวบางอย่าง

อาการ

ผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่จะมีอาการไข้สูง ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ และมักมีน้ำมูกและไอร่วมด้วย ภาวะแทรกซ้อนซึ่งมักพบในผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยงคือ ภาวะปอดอักเสบ

การวินิจฉัยโรคไข้หวัดใหญ่อาศัยอาการของผู้ป่วย ร่วมกับการตรวจหาเชื้อไวรัส ไข้หวัดใหญ่จากน้ำในโพรงจมูกและเสมหะของผู้ป่วย

การรักษา

การรักษาผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่เป็นการรักษาด้วยยาตามอาการ ดื่มน้ำและพักผ่อนให้ เพียงพอ ยาโอเซตามีเวียร์เป็นยาต้านไวรัสไข้หวัดใหญ่ที่ใช้ในการรักษาผู้ป่วยที่เป็นกลุ่มเสี่ยง และผู้ป่วยที่มีภาวะแทรกซ้อน

การป้องกัน

การป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ทำได้โดยใช้หน้ากากอนามัยและล้างมือบ่อยๆ เมื่อป่วยเป็นไข้ หรือมีอาการหวัดหรือเมื่อต้องเข้าไปในที่ชุมชน วัคซีนไข้หวัดใหญ่ป้องกันโรคได้ร้อยละ 50-90 แนะนำให้ฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ปีละหนึ่งครั้งสำหรับเด็กอายุตั้งแต่ 6 เดือนขึ้นไปและสำหรับผู้ใหญ่ โดยเฉพาะในคนกลุ่มเสี่ยง

โรคไข้เลือดออก

โรคไข้เลือดออกเกิดจากการติดเชื้อไวรัสเดงกีซึ่งมี 4 ชนิดและมียุงลายเป็นพาหะนำโรค พบบ่อยในเด็กโต วัยรุ่น และคนวัยทำงาน

อาการ

ผู้ป่วยไข้เลือดออกจะมีอาการไข้สูงลอยนาน 3-7 วัน หน้าแดง ปวดเมื่อยตามตัว ปวดศีรษะ คลื่นไส้อาเจียน ปวดท้อง ตับโตและกดเจ็บ พบเลือดออกที่ผิวหนังและใน กระเพาะอาหารได้ ผู้ป่วยบางรายอาจมีการรั่วของน้ำออกจากเส้นเลือด ทำให้มีภาวะเลือดข้น และเกิดอาการช็อกได้

การวินิจฉัยโรคไข้เลือดออกอาศัยอาการของผู้ป่วยร่วมกับผลการตรวจเลือด การตรวจนับเม็ดเลือดจะพบจำนวนเม็ดเลือดขาวและเกร็ดเลือดลดลง และอาจพบ ความเข้มข้นของเลือดสูงขึ้น การตรวจเลือดยืนยันว่าเป็นโรคไข้เลือดออกจริงที่นิยมใช้คือ การตรวจหาเอ็นเอส-1 การตรวจหาภูมิคุ้มกันต่อเชื้อ และการตรวจด้วยวิธีพีซีอาร์

การรักษา

ผู้ป่วยไข้เลือดออกส่วนใหญ่มีอาการไม่รุนแรงและให้การดูแลรักษาที่บ้านได้ ควรติดตามอาการกับแพทย์ทุก 1-2 วัน การรักษาผู้ป่วยประกอบด้วย การลดไข้ด้วยการเช็ดตัว และยาพาราเซตามอล และดื่มน้ำให้เพียงพอ ผู้ป่วยที่มีอาการแย่ลงโดยเฉพาะเมื่อไข้ลดลง เช่น ซึม มือเท้าเย็น ชีพจรเต้นเบาเร็ว กระสับกระส่าย ปวดท้องรุนแรง อาเจียนเป็นเลือด ต้องรีบไปโรงพยาบาล

การป้องกัน

การป้องกันโรคไข้เลือดออกทำได้โดยหลีกเลี่ยงไม่ให้ยุงกัดและทำลายแหล่งเพาะพันธุ์ยุง วัคซีนไข้เลือดออกช่วยป้องกันโรคได้เกือบร้อยละ 70 หรืออย่างน้อยก็ช่วยลดความรุนแรงของ โรคได้ แนะนำให้ใช้ในเด็กอายุตั้งแต่ 9 ปีขึ้นไปและในผู้ใหญ่อายุไม่เกิน 45 ปี

นอกจากนี้ยังมีโรคอื่นๆที่สามารถเกิดได้ทุกฤดูกาลของประเทศไทย แต่มักจะพบบ่อยในช่วงฤดูฝน ได้แก่ โรคติดต่อเกี่ยวกับดวงตา มักเกิดจากเชื้อไวรัสที่อยู่ในน้ำสกปรก อาจด้วยการขยี้ตา หรือน้ำกระเด็นเข้าตา จะมีอาการคันตา ตาแดง เป็นโรคติดต่อได้ง่าย ป้องกันได้ด้วยการหมั่นล้างมือให้สะอาดอยู่เสมอ

โรคฉี่หนู

ภาษาอังกฤษ : Leptospirosis มักเกิดในบริเวณที่มีน้ำท่วมขัง เป็นแหล่งอาศัยของหนู อาการโดยทั่วไปคือปวดศีรษะ มีไข้สูงเฉียบพลัน ตาแดง ปวดบริเวณน่องและโคนขาอย่างรุนแรง ในบางรายอาจไตวายหรือช็อคได้ ป้องกันได้ด้วยการใส่รองเท้าบูทที่สามารถกันน้ำได้ และหลีกเลี่ยงการเดินเหยียบย่ำบริเวณที่น้ำขัง

Categories
บทความ

RSV ไวรัสตัวร้าย อันตรายกับเจ้าตัวน้อย

RSV ไวรัสตัวร้าย อันตรายกับเจ้าตัวน้อย

RSV คืออะไร?

RSV (Respiratory Syncytial Virus) เป็นไวรัสชนิดหนึ่งที่ก่อโรคทางระบบทางเดินหายใจที่พบบ่อยในเด็กโดยเฉพาะเด็กเล็กที่มีอายุน้อยกว่า 5 ปี สามารถทำให้เกิดการติดเชื้อระบบทางเดินหายใจทั้งส่วนบนและส่วนล่าง การระบาดของเชื้อนี้มักพบในฤดูฝนและฤดูหนาวในประเทศไทย

หากติดไวรัส RSV จะมีอาการเป็นอย่างไร?

เมื่อติดเชื้อ RSV จะมีอาการเหมือนไข้หวัดธรรมดาคือ ไข้ ไอ จาม น้ำมูกไหล โดยลักษณะของไข้จะมีไข้สูงหรือไข้ต่ำๆก็ได้ แต่หากการดำเนินโรครุนแรงมากขึ้นเป็นการติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนล่างจะมีอาการของภาวะหลอดลมอักเสบ ปอดบวมหรือปอดอักเสบ และทำให้เกิดภาวะหายใจล้มเหลวได้ อาการที่ต้องสังเกตของ RSV ที่ต้องเฝ้าระวัง คือ ผู้ป่วยที่ติดเชื้อ RSV และมีอาการไอมาก เสมหะมาก หายใจมีเสียงวี๊ดหรือมีเสียงครืดคราด มีอาการหอบเหนื่อยหายใจเร็วอกบุ๋ม ควรรีบมาพบแพทย์

ใครบ้างที่เป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดปอดอักเสบติดเชื้อไวรัส RSV?

กลุ่มผู้ป่วยที่เสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนหรือเกิดปอดอักเสบติดเชื้อตามมาได้โดยง่าย ได้แก่ ทารกคลอดก่อนกำหนดโดยเฉพาะที่อายุครรภ์น้อยกว่า 29 สัปดาห์ ผู้ที่มีโรคประจำตัวเป็นโรคหัวใจ โรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง โรคปอด เป็นต้น มีโอกาสที่โรคจะทรุดตัวได้อย่างรวดเร็วจนถึงขั้นต้องใส่เครื่องช่วยหายใจได้ เพราะฉะนั้นผู้ป่วยกลุ่มนี้ควรระมัดระวังป้องกันการติดเชื้อและดูแลอย่างใกล้ชิด 

กลุ่มเสี่ยงติดเชื้อไวรัส-rsv-อาการที่ควรสังเกต


ไวรัส RSV ติดต่อทางใดได้บ้าง?

ไวรัส RSV ติดต่อโดยตรงกับการสัมผัสสารคัดหลั่งต่างๆ เช่น น้ำมูก น้ำลาย เสมหะ เช่น หากที่มือเรามีเชื้อ RSV จากสัมผัสกับารคัดหลั่งที่ไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม แล้วเรานำมือไปขยี้ตา หรือเข้าจมูกก็สามารถติดเชื้อนี้ได้โดยง่าย เชื้อ RSV สามารถมีชีวิตอยู่ในสิ่งแวดล้อมได้นานหลายชั่วโมงและอยู่บนมือได้นานกว่าครึ่งชั่วโมงหากไม่ได้ล้างทำความสะอาด เมื่อได้รับเชื้อมาแล้วระยะฝักตัวของโรคอยู่ที่ประมาณ 4-6 วันหลังจากได้รับเชื้อ

มีวัคซีนหรือยารักษาหรือไม่?

ปัจจุบันยังไม่มีวัคซีนที่ป้องกันการติดเชื้อ RSV อีกทั้งยังไม่มียารักษาเชื้อไวรัส RSV โดยตรงอีกด้วย การรักษาเป็นเพียงการรักษาแบบประคับประคองตามอาการ เช่น การให้ยาลดไข้ การดูดเสมหะ การให้ยาขยายหลอดลมในรายที่มีภาวะหลอดลมตีบ ให้ออกซิเจน การให้สารน้ำทดแทนให้เพียงพอ ระยะเวลาในการรักษาของแต่ละคนขึ้นกับความรุนแรงของโรค ส่วนใหญ่อยู่ที่ประมาณ 1-2 สัปดาห์

เราจะป้องกันการติดเชื้อจากไวรัส RSV ได้อย่างไร?

เนื่องจากเป็นโรคติดเชื้อที่ถึงแม้เคยเป็นแล้วสามารถเป็นซ้ำได้อีกและยังไม่มีวัคซีนใช้ในปัจจุบัน สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือป้องกันนั่นเอง ได้แก่ ล้างมือให้สะอาดด้วยน้ำสบู่หรือแอลกอฮอล์เจลอยู่เสมอทั้งผู้ใหญ่และเด็ก ใส่หน้ากากอนามัยเป็นประจำ รักษาความสะอาดทำความสะอาดของเล่นเด็กบ่อยๆ หากมีคนในบ้านป่วยควรแยกและงดใช้ของส่วนตัวร่วมกัน รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ และพักผ่อนให้เพียงพอเป็นการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันร่างกายให้แข็งแรง สำหรับเด็กที่เข้าเนิร์สเซอร์รี่หรือเข้าโรงเรียนแล้วเมื่อมีการป่วยควรหยุดเรียนทันทีจนกว่าอาการจะหายเป็นปกติเพื่อเป็นการป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อโรคอีกทางนึง